posttoday

“โคเวอร์แมท” เติบโตจาก “ศูนย์” สู่ New S Curve โตอีก 10X

07 ธันวาคม 2568

เปิดเส้นทาง 11 ปี “โคเวอร์แมท” ธุรกิจเอสเอ็มอีที่เป็นผู้จัดจำหน่าย สู่ ซัพพลายเชน New S Curve แบรนด์ระดับโลก ปักหมุดบุกตลาด เฮลท์แคร์ ไม่หยุดแค่ประเทศไทย

KEY

POINTS

  • เส้นทาง 11 ปีของ “โคเวอร์แมท” จากธุรกิจเอสเอ็มอีผู้จัดจำหน่ายวัสดุอุตสาหกรรมยานยนต์ พลิกโฉมสู่การเป็นส่วนหนึ่งในซัพพลายเชน New S-Curve ด้านเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับแบรนด์ระดับโลก
  • กระจายความเสี่ยงทางธุรกิจหลังเผชิญวิกฤต ด้วยการขยายสู่ตลาดเฮลท์แคร์และสังคมผู้สูงวัย ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตต่อเนื่องแม้เศรษฐกิจผันผวน
  • วางเป้าหมายเติบโตสู่ระดับพันล้านบาท โดยไม่หยุดแค่ในประเทศไทย เตรียมขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อรองรับซัพพลายเชนระดับโลก

“โคเวอร์แมท” ธุรกิจเอสเอ็มอีไทย ที่เติบโตจาก ศูนย์ วันนี้ กลายเป็น 1 ใน ซัพพลายเชนของอุตสาหกรรม New S-Curve ที่ทำงานร่วมกับบริษัทระดับโลกกว่า 20 แบรนด์ ทำหน้าที่ “เชื่อมต่อเทคโนโลยีและวัสดุอุตสาหกรรมระดับโลก” เข้าสู่โรงงานและภาคการผลิตสำคัญของประเทศไทยตั้งแต่ อิเล็กทรอนิกส์, EMS, EV, ยานยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงการแพทย์และเฮลท์แคร์

แต่เส้นทางสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป และบทเรียนที่ได้กลายเป็นโครงสร้างสำคัญที่ผลักดันให้ โคเวอร์แมท แข็งแรงขึ้นกว่าเดิม

จากพนักงานขาย สู่ เจ้าของบริษัท ที่เริ่มจาก “ศูนย์”

“ณัฐวุฒิ เลิศรัตน์เดชากุล” Founder & CEO บริษัท โคเวอร์แมท จํากัด เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจว่า การเดินทางของเขา เริ่มต้นจากโอกาสในการเติบโตอย่างรวดเร็วในสายงานจนขึ้นตำแหน่งเป็น ผู้จัดการฝ่ายขาย ตั้งแต่อายุ 27 ปี ในช่วงนั้นมีโอกาสทำงานกับบริษัทต่างชาติหลายแห่ง เช่น สเปน ไต้หวัน และสิงคโปร์ ทำให้มองเห็นว่าบริษัทต่างชาติเข้ามาทำกำไรในประเทศไทยค่อนข้างมาก 

แต่ธุรกิจที่เป็น Distributor หรือ Trading ของคนไทยแท้ ๆ นั้นยังมีน้อย ด้วยความเชื่อที่ว่า “มีแพสชันและอยากทำธุรกิจของคนไทยที่สามารถเชื่อมโยงกับต่างชาติ และธุรกิจที่กำลังเติบโตในไทยได้ ” จึงตัดสินใจเปิดบริษัทเอง ตอนอายุ 30 ปี

New S Curve คือโอกาสปั๊มยอดขายโตพันล้าน

ธุรกิจแรกเริ่มของ ณัฐวุฒิ จึงมาจากสิ่งที่เขาถนัดและมีพื้นฐานความรู้ นั่นคือด้านวิศวกรรมวัสดุศาสตร์ ทำให้ โคเวอร์แมท เริ่มจากการเชื่อมต่อกับโรงงานที่เป็น OEM โดยเฉพาะในกลุ่ม Automotive ซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทย ธุรกิจแรกคือการขาย Material เช่น โฟม เพื่อช่วยให้รถเงียบขึ้นและประกอบได้ดียิ่งขึ้น เพียงแค่ปีที่ 4-5 ยอดขายก็สามารถขยับขึ้นไปถึงเกือบ 100 ล้านบาท

แต่แล้ว ธุรกิจแรกก็เริ่มเข้าสู่ภาวะอิ่มตัว เขาจึงเริ่มมองหา S Curve ใหม่ และมองเห็นเทรนด์ของกลุ่ม อิเล็กทรอนิกส์, เซมิคอนดักเตอร์, PCB, AI และ EV ว่าจะมาแน่ ๆ ปัจจุบัน โคเวอร์แมท จึงได้ขยับเข้ามารองรับลูกค้าในซัพพลายเชน เหล่านี้ทั้งหมด หรือที่เรียกว่า EMS (Electronic Manufacturing Service) ซึ่งกลายเป็นธุรกิจหลักที่เน้นด้านเทคโนโลยีในปัจจุบัน

“โคเวอร์แมท” เติบโตจาก “ศูนย์” สู่ New S Curve โตอีก 10X

ณัฐวุฒิ เลิศรัตน์เดชากุล

ในฐานะเอสเอ็มอีที่เริ่มมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โคเวอร์แมท มองเห็นภาพชัดเจนว่า รัฐบาลมีการเปิดรับการลงทุน และกลุ่มทุนก็เปลี่ยนจากญี่ปุ่น เป็นจีนและไต้หวันมากขึ้น ตามกระแสของรถยนต์ไฟฟ้า และ ดาต้า เซ็นเตอร์

ตอนนี้ โคเวอร์แมท มีโอกาสทำงานกับ บริษัทระดับโลก ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในระดับ ท็อป 3 ของโลก เป้าหมายคือการผลักดันให้เอสเอ็มอีของไทยเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนระดับโลก และธุรกิจจะเติบโตตามกระแสของ AI และ ดาต้า เซ็นเตอร์ ที่กำลังขยายตัวอย่างชัดเจน 

บทเรียนจากวิกฤตและการขยายสู่ตลาดสุขภาพ

คำถามคือ “ทำไมบริษัทที่เติบโตในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีถึงต้องเข้ามาในธุรกิจสุขภาพ?”

ณัฐวุฒิ เล่าว่า ช่วงวิกฤตโควิด โรงงานหยุดสั่งสินค้า ทำให้บริษัทเห็นความจำเป็นของการสร้างความหลากหลายด้านรายได้ และมองหาอุตสาหกรรมที่ เติบโตต่อเนื่องแม้เศรษฐกิจผันผวน
จึงเลือกเข้าสู่กลุ่ม Health Care, Longevity และ Aging Society

ธุรกิจสุขภาพ จึงกลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สำคัญในยุคอนาคต โดยเริ่มทำมาประมาณ 1-2 ปีก่อนจุดเริ่มต้นคือการเป็นตัวแทน Exclusive ขายสินค้า B2B ให้กับกลุ่มโรงพยาบาล ก่อนจะต่อยอดไปยังผู้บริโภค ด้วยแบรนด์ Merry’s Care ซึ่งเน้นผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ซึ่งแม้จะเริ่มต้นจากการขายออนไลน์ ด้วยยอดขายเริ่มแรกเพียง 20,000 บาท ต่อเดือน แต่ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจนยอดขายเกือบแตะ 1 ล้านบาทต่อเดือนในปัจจุบัน

“โคเวอร์แมท” เติบโตจาก “ศูนย์” สู่ New S Curve โตอีก 10X

กุญแจสำคัญที่ทำให้ Merry’s Care ประสบความสำเร็จคือ การเลือกสินค้าที่ลูกค้าใช้ดีอยู่แล้วตามโรงพยาบาล มาทำให้เข้าถึงได้ง่ายผ่านการขายออนไลน์ และการใช้ CEO Network รวมถึง คอนเน็คชั่น  ที่มีอยู่ เช่น การร่วม Collab หรือเป็นสปอนเซอร์งานวิ่งมาราธอน ทำให้แบรนด์มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้รักสุขภาพโดยตรง โดยไม่ได้พึ่งพา อินฟลูเอนเซอร์ มากนัก

การเผชิญหน้ากับความท้าทายและบทเรียนสำคัญ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลอดเส้นทาง 11 ปี ที่ผ่านมา โคเวอร์แมท เติบโตอย่างรวดเร็วก็จริง แต่กลับต้องเผชิญความท้าทายหลัก ๆ อยู่ 2 เรื่อง คือ 

เรื่องแรก เรื่องเงินทุน เพราะหลังจากธุรกิจเติบโตถึง 30-40 ล้านบาท เงินทุนหมุนเวียนเริ่มไม่พอ และบริษัทไม่มีทรัพย์สินมาค้ำประกัน ทำให้ธุรกิจสะดุดไปพักหนึ่งในช่วงปีที่ 4-5 ก่อนที่จะหา นักลงทุน มาช่วยลงทุนเพิ่มได้ในที่สุด

และเรื่องที่สอง คือการขยายธุรกิจเร็วเกินไป โดยโคเวอร์แมท เคยมีบทเรียนจากการไปเปิดออฟฟิศที่เวียดนามและ "เจ็บตัว" มาก่อน เนื่องจากการบริหารจัดการบุคลากรและเงินทุนยังไม่พร้อม บทเรียนสำคัญที่ได้คือ หากทำสาขาแรกยังไม่ดี สาขาที่สองจะดีได้ยาก การขยายงานในอนาคตจึงต้องระมัดระวังมากขึ้น และจะมองหาพาร์ทเนอร์ที่มี Synergy มาร่วมกัน

นอกจากนี้ โคเวอร์แมท ยังเคยทุ่มเงินและพยายามผลักดันธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ BCG ในช่วงที่กระแสมาแรง แต่การตอบรับในประเทศไทย อาจยังไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร เนื่องจากราคาสินค้าที่เกี่ยวกับความยั่งยืน ยังสูงกว่าสินค้าทั่วไป และประเทศไทยยังไม่มี Network Chain ที่แข็งแรง ตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงการรีไซเคิล ทำให้การหาพันธมิตรครบวงจรทำได้ยาก ปัจจุบันจึงกลับมาเน้นธุรกิจที่เป็น Core หลัก คือเรื่อง S Curve และเทคโนโลยี

SME D Bank เติมทุนต่อยอดขยายธุรกิจ

สำหรับในด้านการเงิน ปัจจุบัน โคเวอร์แมท ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ทั้งในส่วนของสินเชื่อ ช่วยลดต้นทุนทางการเงิน  ทำให้บริษัทมีเงินทุนมากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับ โคเวอร์แมท ซึ่งเป็นเอสเอ็มอีที่ไม่ได้มีสินทรัพย์  มาค้ำประกันในช่วงแรก ซึ่งการมี Working Capital ที่เพิ่มขึ้นนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการทำธุรกรรมในต่างประเทศ

การมี SME D Bank ซัพพอร์ต ยังเป็นการเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ของบริษัท ทำให้มีโอกาสในการประชาสัมพันธ์ ว่าบริษัทขนาดเล็กแห่งนี้  มีสถาบันการเงินของรัฐเข้ามาสนับสนุน ส่งผลให้ ภาพลักษณ์ของบริษัทในสายตา Global Supplier มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น แม้บริษัทยังไม่ได้เป็นบริษัทมหาชน

นอกจากนี้ SME D Bank ยังสนับสนุนด้านเงินทุนเพิ่มเติมจาก กองทุน (กองทรัสต์) ที่เข้ามาช่วยร่วมลงทุนในช่วงปี 2023 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินและความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทเช่นกัน

แผนระยะ 5-10 ปี มุ่งสร้างความยั่งยืน ไม่หยุดแค่ ประเทศไทย

ณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตอนนี้ โคเวอร์แมท กำลังอยู่ในช่วง Growth State ที่ต้องการผลักดันให้บริษัทเติบโตไปสู่ระดับพันล้านบาท ดังนั้น ลูกค้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศไทยแล้ว โดยเริ่มมีการ Export ไปยังเวียดนาม และกำลังมองหาการขยายไปยัง ปีนัง ประเทศมาเลเซีย ในปีหน้า ซึ่งเป็นศูนย์กลางของ ดาต้า เซ็นเตอร์ และ เซมิคอนดักเตอร์ 

“โคเวอร์แมท” เติบโตจาก “ศูนย์” สู่ New S Curve โตอีก 10X

แผนระยะยาวคือการขยาย Global Footprint ของ โคเวอร์แมท ให้กระจายไปทั่วภูมิภาค SEA (South East Asia) อย่างระมัดระวัง เพื่อรองรับซัพพลายเชน ที่กำลังจะหลั่งไหลเข้ามาในภูมิภาคนี้อย่างแน่นอน

เคล็ดลับทำธุรกิจ ต้องปรับตัวให้ไว

จากความท้าทายในการทำธุรกิจของ ณัฐวุฒิ ไม่ว่าจะเป็น การมีทุนที่จำกัด แต่ต้องแข่งขันกับบริษัทขนาดใหญ่ การขยายธุรกิจสู่ธุรกิจด้านสุขภาพ แต่ต้องศึกษาทุกอย่างใหม่ตั้งแต่ศูนย์ ล้มเหลวหลายครั้ง จนมีคนบอกให้ยอมแพ้ รวมถึงการเลือกสินค้าไม่ตรงตลาดหลายครั้ง ทำให้เสียเวลาและต้นทุนเพิ่ม ปัญหาทีมยังไม่ลงตัว ต้องเปลี่ยนคน ปรับโครงสร้าง จนกว่าจะเจอคนที่ใช่

แต่ ณัฐวุฒิ ก็ลุกขึ้นสู้และปรับเกมการทำธุรกิจได้ไว นั้น เขาได้ถ่ายทอดถึงเคล็ดลับในการบริหารธุรกิจ ว่า การทำธุรกิจ ต้องไม่พิจารณาเพียงแค่ธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง เนื่องจากธุรกิจทุกตัวมีวงรอบของตัวเอง ที่ต้องมีช่วงขึ้นและช่วงลง ดังนั้นแนวคิดหลักจึงมุ่งเน้นที่การ Balance สามมุมนี้ไปพร้อมกัน ประกอบด้วย

1. การ Evolve ตลอดเวลา เมื่อธุรกิจเริ่มอิ่มตัวและ กำไร ถูกคู่แข่งกดดัน ต้องพัฒนาตนเองโดยการ อัพสกิล ด้าน เทคนิค และเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้สินค้ามากขึ้นเพื่อเพิ่ม กำไร

2. การ Diverse Portfolio ไม่พึ่งพาธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง และต้องมองหาเทรนด์ที่กำลังจะมา รวมถึงกลุ่มธุรกิจที่มีความจำเป็น ที่คนขาดไม่ได้ เช่น เรื่อง สุขภาพ เพราะเป็นเรื่องที่รอไม่ได้

3. การสร้างความน่าเชื่อถือ การพัฒนาทักษะทางเทคนิคให้ได้รับการไว้วางใจจากต่างประเทศ จะช่วยให้ได้รับ กำไร สินค้าที่ดีขึ้น

“โคเวอร์แมท” เติบโตจาก “ศูนย์” สู่ New S Curve โตอีก 10X

ณัฐวุฒิ เลิศรัตน์เดชากุล

การรักษาความสมดุลของทั้งสามมุมนี้จะทำให้ภาพรวมของบริษัทมีความยั่งยืน และสามารถอยู่รอดได้ในทุกสภาวะ ดังนั้นการจะอัพรายได้จาก 100 ล้านบาท ไปสู่ หลัก 1,000 ล้านบาท ย่อมเป็นเป้าหมายที่วาดไว้ว่า “ต้องเป็นไปได้”

ข่าวล่าสุด

กม.แรงงานใหม่มีผล7ธ.ค.เพิ่มสิทธิลาคลอดคู่สมรสลาได้เต็มจำนวน