“Molly Ally” ไอศกรีมจากพืชพลิกช่องว่างคนแพ้นมวัว ขายดีวันละ 700 ถ้วย
ทำความรู้จัก “Molly Ally” ไอศกรีม Plant-Based ที่เกิดจากโปรเจกต์มหาวิทยาลัยของสามผู้ก่อตั้ง ศึกษาช่องว่างตลาด แก้ปัญหาคนแพ้นมวัว ขายดีวันละ 700 ถ้วย
"เมื่อปัญหาและช่องว่างคือโอกาส” คำกล่าวนี้สะท้อนแนวคิดของ รตี บวรมงคลศักดิ์, โชติมา มีมุ่งธรรม และกานต์ชนิต บุบผาชื่น สามผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Molly Ally ที่มองเห็น “โอกาสทางธุรกิจ” จากปัญหาการแพ้นมวัวในกลุ่มคนเอเชีย และนำมาพัฒนาเป็น ไอศกรีมจากพืช (Plant-Based Ice Cream)
มองเห็นโอกาสจากช่องว่างของตลาดเอเชีย
จุดเริ่มต้นการพัฒนาธุรกิจของทั้งสามคน น่าสนใจเพราะแม้จะมาจากโปรเจกต์ในมหาวิทยาลัยทั้งสามคนเริ่มต้นจากการศึกษาตลาดอย่างจริงจัง ก่อนจะพัฒนาผลิตภัณฑ์และแผนธุรกิจอย่างเป็นระบบ จนก่อตั้ง บริษัท มอลลี่อัลลี่ จำกัด และปั้นแบรนด์ “Molly Ally” ที่ปัจจุบันมียอดขายเฉลี่ย กว่า 700 ถ้วยต่อวัน
ข้อมูลจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่าทั้งสามผู้ก่อตั้ง ได้ทำการสำรวจตลาดพบว่า คนในภูมิภาคเอเชียกว่า 70% มีภาวะแพ้นมวัว ทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว ในขณะที่ตลาดไอศกรีมเพื่อสุขภาพหรือ Plant-Based Ice Cream ยังมีผู้เล่นน้อยมาก โดยเฉพาะ “ไอศกรีมที่ไม่ใช้นมวัวเลย” ซึ่งมีเพียงประมาณ 0.1% ของตลาดทั้งหมด
เมื่อเทียบกับอเมริกา แม้จะมีผู้แพ้นมวัวราว 30% แต่ผู้บริโภคมีความเข้าใจและมีผลิตภัณฑ์ทางเลือกมากมาย ส่วนในยุโรปก็มีแบรนด์แนวนี้อยู่แล้ว ทำให้ทีมผู้ก่อตั้งมองเห็นช่องว่างในตลาดเอเชีย จึงตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจ แม้จะไม่มีประสบการณ์ทำไอศกรีมมาก่อนเลยก็ตาม
ส่วนผสมทดแทนนมวัน
ไอศกรีม Molly Ally ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติแทนนมวัวทั้งหมด เช่น นมโอ๊ต, นมอัลมอนด์, นมถั่วเหลือง ส่วนวิปครีมทำจาก น้ำมันมะพร้าวและถั่วเหลือง ทำให้ตอบโจทย์คนรักสุขภาพและผู้ที่แพ้นมวัวโดยเฉพาะ
ผลงานโปรเจกต์นี้ต่อยอดจนได้รับการคัดเลือกให้เข้าประกวดในโครงการ New Venture Championship ที่ประเทศไทย และสามารถคว้ารางวัลระดับโลก New Venture Championship 2021 ที่รัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผู้เข้าแข่งขันกว่า 75 ประเทศทั่วโลก พร้อมรับเงินรางวัลมาใช้เป็นทุนตั้งต้นทำธุรกิจจริง
ทั้งนี้ ชื่อแบรนด์ Molly Ally มาจากคำว่า Molecule of Happiness สื่อถึง “โมเลกุลแห่งความสุข” ที่ส่งต่อให้ผู้บริโภค ไอศกรีมที่กินแล้วมีความสุขในระยะสั้น และดีต่อสุขภาพในระยะยาว
เปลี่ยนนวัตกรรมผลิตเนื้อไอศกรีม-เพิ่มกำลังผลิต 5 เท่า
แม้จะได้สูตรไอศกรีมเพื่อสุขภาพที่ตอบโจทย์แล้ว แต่ทีมยังพบจุดอ่อน เช่น เนื้อสัมผัสหยาบ เกิดเกล็ดน้ำแข็ง และเก็บไว้ได้ไม่นาน ด้วยความที่รตี เป็นนิสิตเก่าจากภาควิชาสถิติ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงเข้าขอคำแนะนำจาก ศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) ที่แนะนำให้ใช้เทคโนโลยี Emulsify Integrated System ซึ่งเป็นกระบวนการควบคุมแรงดัน อุณหภูมิ และเวลาในขั้นตอนการ Homogenization และ Pasteurization เพื่อทำให้ไอศกรีมมีเนื้อเนียนละเอียด ไม่เป็นผลึกน้ำแข็ง และเก็บคุณภาพได้นานถึง 12–15 เดือนโดยไม่ต้องใช้สารกันเสีย
CU Innovation Hub ยังช่วยพัฒนาให้ระบบการผลิตของ Molly Ally เปลี่ยนจาก แมนนวล (manual) ที่ผลิตได้เพียง 700 ถ้วยต่อวัน ไปสู่ระบบ อัตโนมัติ (Automated Emulsify System) ที่เพิ่มกำลังผลิตได้ถึง 5 เท่า ลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อน และควบคุมคุณภาพได้แม่นยำยิ่งขึ้น พร้อมต่อยอดสู่การทำ OEM และการส่งออกในอนาคต
รางวัลและการเติบโต
Molly Ally เติบโตควบคู่ไปกับกระแสสุขภาพ (Wellness Trend) ล่าสุดแบรนด์ได้รับ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 สุดยอดนวัตกรรมภาคกลาง ในโครงการ “TED Youth Startup Championship 2025” พร้อมเงินสนับสนุน 1.5 ล้านบาท จากกองทุน TED Fund กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาธุรกิจต่อยอดนวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์
กลยุทธ์การขาย B2C & B2B
Molly Ally วางสัดส่วนการขายแบบ B2C 80% และ B2B 20%
1.B2C มีหน้าร้านที่ The Circle, EmQuartier, Park Silom และโรงพยาบาลพระราม 9 จำหน่ายไอศกรีมรสซิกเนเจอร์ ราคาเริ่มต้นเพียง 89 บาทต่อถ้วย เช่น
- Caramel Cookie Milk Shake (153 แคลอรี)
- Lemon Pie (160 แคลอรี)
- Madagascar Vanilla Macadamia (160 แคลอรี)
2.B2B เน้นจำหน่ายให้ร้านอาหารสายสุขภาพ พร้อมโปรเจกต์ Collab กับแบรนด์อื่น ๆ เพื่อพัฒนารสชาติพิเศษเฉพาะร้านนั้น ๆ นอกจากนี้ยังมีบริการ Customize รสชาติให้ร้านอาหารสุขภาพที่อยากมีไอศกรีมแบรนด์ตัวเอง พร้อมช่วยโปรโมทผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งตอนนี้มีรสชาติที่พัฒนาไว้กว่า 40 รสแล้ว หมุนเวียนจำหน่ายตามฤดูกาล
Source เครดิตภาพ : Chulalongkorn University


