ระบบยืนยันอายุผู้ใช้โซเชียล ป้องกันเยาวชนแอบใช้หลังสั่งห้าม
หลายประเทศเริ่มออกกฎหมายคุมหรือแบนโซเชียลมีเดียในเยาวชน หลังปัญหาอัลกอริทึม เนื้อหาอันตราย และผลกระทบสุขภาพทวีความรุนแรง จนต้องเร่งหาวิธีป้องกัน
KEY
POINTS
- หลายประเทศทั่วโลกเริ่มออกกฎหมายห้ามเยาวชนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์ใช้โซเชียลมีเดีย เพื่อรับมือกับผลกระทบเชิงลบที่รุนแรง
- มีการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ยืนยันตัวตนเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยง เช่น การใช้ AI ประเมินอายุจากใบหน้า (Facial Age Estimation) และการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งาน
- แนวทางอื่นที่ถูกนำมาใช้รวมถึงการเชื่อมข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐหรือผู้ให้บริการมือถือ และมาตรการเข้มข้นอย่างในจีนที่บังคับใช้โหมดสำหรับผู้เยาว์ (Minor mode)
นับเป็นความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญบนโลกอินเทอร์เน็ต เมื่อการแบนโซเชียลมีเดียในเด็กและเยาวชนเริ่มได้รับความสนใจ จากเดิมที่เคยออกคำเตือนให้ระมัดระวังหรือใช้งานอย่างจำกัด ล่าสุดเริ่มมีการควบคุมเวลาใช้งานหรือออกกฎหมายสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการแก้ไขปัญหา
แน่นอนนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อโซเชียลมีเดียซึมลึกไปในชีวิตประจำวัน แต่ก่อนอื่นเรามาพูดถึงเสียหน่อยว่า ทำไมทุกประเทศจึงพร้อมใจกันขนาดนี้
ต้นตอปัญหาที่ทำให้มีแนวคิดแบนโซเชียลมีเดีย
1. ปัญหาเชิงระบบและอัลกอริทึม แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียถูกออกแบบให้ดึงดูดความสนใจสูงสุด เพื่อให้ผู้ใช้งานเสพติดและใช้เวลาอยู่กับหน้านานที่สุด ส่งผลกระทบโดยตรงต่อพัฒนาการเด็ก
2. ภัยจากเนื้อหาที่เผยแพร่ มีการแพร่กระจายข้อมูลเท็จซึ่งอาจเป็นการปลูกฝังตรรกะผิด ๆ และเนื้อหาอันตรายจำนวนมาก เช่น การลดน้ำหนักผิดวิธี หรือการทำ Challenge เสี่ยงตายซึ่งทำให้ได้รับอันตราย
3. การคุกคามทางเพศ เป็นช่องทางของมิจฉาชีพในการล่อลวงทางเพศ การข่มขู่แบล็กเมล์ และการเข้าถึงเนื้อหาทางเพศที่ไม่เหมาะสม
4. ผลกระทบต่อสุขภาวะเยาวชน ก่อให้เกิดปัญหาทางร่างกายจากการพักผ่อนไม่เพียงพอและอาการสมาธิสั้น รวมถึงแรงกดดันทางจิตใจ จนอาจนำไปสู่ความเครียด กดดัน ซึมเศร้า และนำไปสู่การฆ่าตัวตาย
5. ความไม่ใส่ใจของผู้ให้บริการ ผู้ให้บริการเอกชนเพิกเฉยต่อการแก้ไขปัญหา เพื่อมุ่งเน้นผู้ใช้งานและผลกำไร เช่น กรณีรายได้จากโฆษณาหลอกลวงของ Meta
นี่เป็นเหตุผลให้มาตรการควบคุมอย่างเข้มงวดจากภาครัฐต้องเกิดขึ้น
ประเทศที่สั่งห้ามหรือควบคุมโซเชียลมีเดียในเยาวชนอย่างเคร่งครัด
ออสเตรเลีย เป็นประเทศแรกที่สั่งห้ามการใช้โซเชียลมีเดียในเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปีอย่างจริงจัง โดยมีการออกเป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ ครอบคลุมทั้ง TikTok, Instagram, Facebook, Instagram, Snapchat, YouTube, Twitter, Reddit และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่ต้องปิดและห้ามการสมัครใช้งานจากผู้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปี โดยสิ้นเชิง หากฝ่าฝืนมีโทษปรับสูงถึง 1.1 พันล้านบาท โดยกฎหมายจะบังคับใช้วันที่ 10 ธันวาคม 2025
ไม่เพียงออสเตรเลียหลายประเทศในโลกเริ่มเล็งเห็นและสนับสนุนในส่วนนี้ ทั้งในสหภาพยุโรป เช่น สเปน, นอร์เวย์ หรือเดนมาร์ก ที่กำลังร่างมาตรการให้อายุขั้นต่ำผู้ใช้โซเชียลมีเดียอยู่ที่ 15 ปี ประเทศต้นทางอย่างสหรัฐฯก็เริ่มมีบางมลรัฐออกกฎหมายจำกัดอายุ แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างมาเลเซีย
สิ่งนี้นำไปสู่ข้อถกเถียงในหลายด้านโดยเฉพาะเด็กที่ถูกระงับการใช้งาน พวกเขาอาจรู้สึกไม่ยินยอมและถูกลิดรอนสิทธิของตัวเอง จนอาจมองหาช่องทางลัดเลาะหลบเลี่ยงช่องโหว่ให้สามารถเข้าใช้งานได้อีกครั้ง
วันนี้เราจึงมาดูมาตรการรับมือสำหรับป้องกันการเข้าถึงและใช้งานของเยาวชนอย่างจริงจัง
มาตรการรับมือการเข้าถึงและใช้งานของผู้เยาว์
เมื่อพูดถึงยืนยันตัวตนหลายท่านอาจนึกถึงช่องติ๊กอายุ 18 ปีขึ้นไปตามข้อบังคับการใช้งาน การยืนยันวันเกิด หรือการส่งเอกสารประจำตัว เช่น บัตรประชาชน ใบขับขี่ หรือพาสปอร์ตเพื่อยืนยันตัวตน แน่นอนว่านี่เป็นช่องทางพื้นฐานที่ถูกปลอมแปลงได้ง่าย หลายประเทศจึงเริ่มปรับมาตรการในการับมือ
หนึ่งในเทคโนโลยีที่นำมาใช้งานคือ Facial Age Estimation โดยการที่ผู้ใช้ถ่ายเซลฟีวีดีโอของตัวเองส่งเข้าระบบ จากนั้น AI จะทำการวิเคราะห์ใบหน้าและลักษณะทางกายภาพเพื่อประเมินอายุโดยไม่ต้องพึ่งพาเอกสารราชการ โดยมีระดับความแม่นยำอยู่ที่ 99.3% เป็นแนวทางที่ Instagram และ Tinder ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน
อีกแนวทางคือการขอข้อมูลจากไอดีของวอลเล็ทจากภาครัฐ ธนาคาร หรือผู้ให้บริการมือถือ ซึ่งจะมีการเชื่อมต่อเพื่อชำระเงินอยู่แล้ว หรือบางประเทศที่มีบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ก็บังคับให้เชื่อมต่อและขอคำยืนยันจากแอปพลิเคชันจากภาครัฐ ก็ถือเป็นอีกแนวทางช่วยควบคุมการใช้งานที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน
อีกแนวทางที่ได้รับความนิยมเช่นกันคือ การตรวจจับจากอัลกอริทึม ของ Facebook, Instagram และ Youtube โดยรวบรวมและวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งานโดยเฉพาะ เช่น เนื้อหาที่ดู ช่องที่รับชม คำศัพท์ที่ใช้ รูปแบบการสะกดคำ เพื่อนที่อยู่ในลิสท์ ไปจนประวัติการใช้งาน แล้วนำมาประมวลผลด้วย AI ว่าเป็นผู้เยาว์หรือไม่ มีความแม่นยำอยู่ที่ 96%
รูปแบบที่เข้มข้นที่สุดต้องยกให้ประเทศจีน กับการกำหนดให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์ทั้งหมดต้องฝังระบบ Minor mode ที่ทำให้ตรวจสอบ กำหนดระยะเวลาการเล่น และคัดกรองเนื้อหาไม่เหมาะสมอัตโนมัติพร้อมตรวจสอบย้อนหลังได้ทุกเมื่อ อีกทั้งยังมี Midnight patrol ที่จะสุ่มสแกนหน้าระหว่างเล่นเกมตอนกลางคืน หากไม่ผ่านจะถูกเตะออกจากระบบทันทีอีกด้วย
นี่ถือเป็นมาตรการรับมือการเข้าถึงและระงับการใช้งานโซเชียลมีเดียของเยาวชนในปัจจุบัน
จริงอยู่กระแสโลกส่วนใหญ่ดำเนินไปในทิศทางป้องปรามและควบคุมโซเชียลมีเดียเป็นหลักเพราะมีอันตรายเกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตามการควบคุมมากเกินไปก็อาจกลายเป็นการจำกัดสิทธิและช่องทางการเรียนรู้ได้เช่นกัน แต่นี่ก็เป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากความรุนแรงบนโลกออนไลน์และการปล่อยปละละเลยของผู้ให้บริการเช่นกัน
ที่เหลือคงต้องรอดูต่อไปว่า หลังการบังคับใช้จะส่งผลต่อเยาวชนและสังคมในทิศทางใด
ที่มา
https://www.bangkokbiznews.com/world/1206610


