posttoday

ระบบยืนยันอายุผู้ใช้โซเชียล ป้องกันเยาวชนแอบใช้หลังสั่งห้าม

08 ธันวาคม 2568

หลายประเทศเริ่มออกกฎหมายคุมหรือแบนโซเชียลมีเดียในเยาวชน หลังปัญหาอัลกอริทึม เนื้อหาอันตราย และผลกระทบสุขภาพทวีความรุนแรง จนต้องเร่งหาวิธีป้องกัน

KEY

POINTS

  • หลายประเทศทั่วโลกเริ่มออกกฎหมายห้ามเยาวชนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์ใช้โซเชียลมีเดีย เพื่อรับมือกับผลกระทบเชิงลบที่รุนแรง
  • มีการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ยืนยันตัวตนเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยง เช่น การใช้ AI ประเมินอายุจากใบหน้า (Facial Age Estimation) และการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งาน
  • แนวทางอื่นที่ถูกนำมาใช้รวมถึงการเชื่อมข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐหรือผู้ให้บริการมือถือ และมาตรการเข้มข้นอย่างในจีนที่บังคับใช้โหมดสำหรับผู้เยาว์ (Minor mode)

นับเป็นความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญบนโลกอินเทอร์เน็ต เมื่อการแบนโซเชียลมีเดียในเด็กและเยาวชนเริ่มได้รับความสนใจ จากเดิมที่เคยออกคำเตือนให้ระมัดระวังหรือใช้งานอย่างจำกัด ล่าสุดเริ่มมีการควบคุมเวลาใช้งานหรือออกกฎหมายสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการแก้ไขปัญหา

 

แน่นอนนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อโซเชียลมีเดียซึมลึกไปในชีวิตประจำวัน แต่ก่อนอื่นเรามาพูดถึงเสียหน่อยว่า ทำไมทุกประเทศจึงพร้อมใจกันขนาดนี้

 

ระบบยืนยันอายุผู้ใช้โซเชียล ป้องกันเยาวชนแอบใช้หลังสั่งห้าม

 

ต้นตอปัญหาที่ทำให้มีแนวคิดแบนโซเชียลมีเดีย

 

1. ปัญหาเชิงระบบและอัลกอริทึม แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียถูกออกแบบให้ดึงดูดความสนใจสูงสุด เพื่อให้ผู้ใช้งานเสพติดและใช้เวลาอยู่กับหน้านานที่สุด ส่งผลกระทบโดยตรงต่อพัฒนาการเด็ก

 

2. ภัยจากเนื้อหาที่เผยแพร่ มีการแพร่กระจายข้อมูลเท็จซึ่งอาจเป็นการปลูกฝังตรรกะผิด ๆ และเนื้อหาอันตรายจำนวนมาก เช่น การลดน้ำหนักผิดวิธี หรือการทำ Challenge เสี่ยงตายซึ่งทำให้ได้รับอันตราย

 

3. การคุกคามทางเพศ เป็นช่องทางของมิจฉาชีพในการล่อลวงทางเพศ การข่มขู่แบล็กเมล์ และการเข้าถึงเนื้อหาทางเพศที่ไม่เหมาะสม

 

4. ผลกระทบต่อสุขภาวะเยาวชน ก่อให้เกิดปัญหาทางร่างกายจากการพักผ่อนไม่เพียงพอและอาการสมาธิสั้น รวมถึงแรงกดดันทางจิตใจ จนอาจนำไปสู่ความเครียด กดดัน ซึมเศร้า และนำไปสู่การฆ่าตัวตาย

 

5. ความไม่ใส่ใจของผู้ให้บริการ ผู้ให้บริการเอกชนเพิกเฉยต่อการแก้ไขปัญหา เพื่อมุ่งเน้นผู้ใช้งานและผลกำไร เช่น กรณีรายได้จากโฆษณาหลอกลวงของ Meta

 

นี่เป็นเหตุผลให้มาตรการควบคุมอย่างเข้มงวดจากภาครัฐต้องเกิดขึ้น

 

ระบบยืนยันอายุผู้ใช้โซเชียล ป้องกันเยาวชนแอบใช้หลังสั่งห้าม

 

ประเทศที่สั่งห้ามหรือควบคุมโซเชียลมีเดียในเยาวชนอย่างเคร่งครัด

 

ออสเตรเลีย เป็นประเทศแรกที่สั่งห้ามการใช้โซเชียลมีเดียในเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปีอย่างจริงจัง โดยมีการออกเป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ ครอบคลุมทั้ง TikTok, Instagram, Facebook, Instagram, Snapchat, YouTube, Twitter, Reddit และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่ต้องปิดและห้ามการสมัครใช้งานจากผู้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปี โดยสิ้นเชิง หากฝ่าฝืนมีโทษปรับสูงถึง 1.1 พันล้านบาท โดยกฎหมายจะบังคับใช้วันที่ 10 ธันวาคม 2025

 

ไม่เพียงออสเตรเลียหลายประเทศในโลกเริ่มเล็งเห็นและสนับสนุนในส่วนนี้ ทั้งในสหภาพยุโรป เช่น สเปน, นอร์เวย์ หรือเดนมาร์ก ที่กำลังร่างมาตรการให้อายุขั้นต่ำผู้ใช้โซเชียลมีเดียอยู่ที่ 15 ปี ประเทศต้นทางอย่างสหรัฐฯก็เริ่มมีบางมลรัฐออกกฎหมายจำกัดอายุ แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างมาเลเซีย

 

สิ่งนี้นำไปสู่ข้อถกเถียงในหลายด้านโดยเฉพาะเด็กที่ถูกระงับการใช้งาน พวกเขาอาจรู้สึกไม่ยินยอมและถูกลิดรอนสิทธิของตัวเอง จนอาจมองหาช่องทางลัดเลาะหลบเลี่ยงช่องโหว่ให้สามารถเข้าใช้งานได้อีกครั้ง

 

วันนี้เราจึงมาดูมาตรการรับมือสำหรับป้องกันการเข้าถึงและใช้งานของเยาวชนอย่างจริงจัง

 

ระบบยืนยันอายุผู้ใช้โซเชียล ป้องกันเยาวชนแอบใช้หลังสั่งห้าม

 

มาตรการรับมือการเข้าถึงและใช้งานของผู้เยาว์

 

เมื่อพูดถึงยืนยันตัวตนหลายท่านอาจนึกถึงช่องติ๊กอายุ 18 ปีขึ้นไปตามข้อบังคับการใช้งาน การยืนยันวันเกิด หรือการส่งเอกสารประจำตัว เช่น บัตรประชาชน ใบขับขี่ หรือพาสปอร์ตเพื่อยืนยันตัวตน แน่นอนว่านี่เป็นช่องทางพื้นฐานที่ถูกปลอมแปลงได้ง่าย หลายประเทศจึงเริ่มปรับมาตรการในการับมือ

 

หนึ่งในเทคโนโลยีที่นำมาใช้งานคือ Facial Age Estimation โดยการที่ผู้ใช้ถ่ายเซลฟีวีดีโอของตัวเองส่งเข้าระบบ จากนั้น AI จะทำการวิเคราะห์ใบหน้าและลักษณะทางกายภาพเพื่อประเมินอายุโดยไม่ต้องพึ่งพาเอกสารราชการ โดยมีระดับความแม่นยำอยู่ที่ 99.3% เป็นแนวทางที่ Instagram และ Tinder ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน

 

อีกแนวทางคือการขอข้อมูลจากไอดีของวอลเล็ทจากภาครัฐ ธนาคาร หรือผู้ให้บริการมือถือ ซึ่งจะมีการเชื่อมต่อเพื่อชำระเงินอยู่แล้ว หรือบางประเทศที่มีบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ก็บังคับให้เชื่อมต่อและขอคำยืนยันจากแอปพลิเคชันจากภาครัฐ ก็ถือเป็นอีกแนวทางช่วยควบคุมการใช้งานที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน

 

อีกแนวทางที่ได้รับความนิยมเช่นกันคือ การตรวจจับจากอัลกอริทึม ของ Facebook, Instagram และ Youtube โดยรวบรวมและวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งานโดยเฉพาะ เช่น เนื้อหาที่ดู ช่องที่รับชม คำศัพท์ที่ใช้ รูปแบบการสะกดคำ เพื่อนที่อยู่ในลิสท์ ไปจนประวัติการใช้งาน แล้วนำมาประมวลผลด้วย AI ว่าเป็นผู้เยาว์หรือไม่ มีความแม่นยำอยู่ที่ 96%

 

รูปแบบที่เข้มข้นที่สุดต้องยกให้ประเทศจีน กับการกำหนดให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์ทั้งหมดต้องฝังระบบ Minor mode ที่ทำให้ตรวจสอบ กำหนดระยะเวลาการเล่น และคัดกรองเนื้อหาไม่เหมาะสมอัตโนมัติพร้อมตรวจสอบย้อนหลังได้ทุกเมื่อ อีกทั้งยังมี Midnight patrol ที่จะสุ่มสแกนหน้าระหว่างเล่นเกมตอนกลางคืน หากไม่ผ่านจะถูกเตะออกจากระบบทันทีอีกด้วย

 

นี่ถือเป็นมาตรการรับมือการเข้าถึงและระงับการใช้งานโซเชียลมีเดียของเยาวชนในปัจจุบัน

 

 

 

จริงอยู่กระแสโลกส่วนใหญ่ดำเนินไปในทิศทางป้องปรามและควบคุมโซเชียลมีเดียเป็นหลักเพราะมีอันตรายเกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตามการควบคุมมากเกินไปก็อาจกลายเป็นการจำกัดสิทธิและช่องทางการเรียนรู้ได้เช่นกัน แต่นี่ก็เป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากความรุนแรงบนโลกออนไลน์และการปล่อยปละละเลยของผู้ให้บริการเช่นกัน

 

ที่เหลือคงต้องรอดูต่อไปว่า หลังการบังคับใช้จะส่งผลต่อเยาวชนและสังคมในทิศทางใด

 

 

 

ที่มา

 

https://www.bangkokbiznews.com/world/1206610

 

https://www.abc.net.au/news/2025-09-04/how-age-verification-tools-work-australia-social-media-ban/105720526?

 

https://www.reuters.com/legal/litigation/european-lawmakers-seek-eu-wide-minimum-age-access-ai-chatbots-social-media-2025-11-26/

 

https://www.theguardian.com/media/2025/dec/03/social-media-ban-or-delay-australia-list-under-16-explainer-guide-when-what-apps-included-getting-banned

 

https://www.reuters.com/sustainability/society-equity/youtube-says-it-will-comply-with-australias-teen-social-media-ban-2025-12-03/

ข่าวล่าสุด

ปิดฉากจักรวาล "แอน จักรพงษ์" JKN เทรดชั่วคราวก่อนออกจากตลาด เริ่ม 18 ธ.ค.นี้