posttoday

ตำนาน “13 เหรียญ” อดีตเคยดัง แต่หายไปเพราะไม่มีโซเชียลมีเดีย

08 ตุลาคม 2568

เมื่อแบรนด์เก่าไม่ยอมตาย “13 เหรียญ” ร้านอาหารในตำนานที่เคยรุ่งเรืองที่สุดในยุคหนึ่ง กำลังกลับมาอีกครั้ง หลังหายไปจากกระแส เพราะไม่มีโซเชียลมีเดีย

ถ้าย้อนเวลากลับไปในยุคที่กรุงเทพฯ ยังมีรถไม่มาก และร้านอาหารตะวันตกยังเป็นเรื่องหรูหราสำหรับครอบครัวคนไทย “ร้าน 13 เหรียญ” คงเป็นชื่อที่ใครหลายคนอาจจะคุ้นหู

 

สเต๊กจานใหญ่ถูกเสริฟวางบนโต๊ะ ในบรรยากาศคาวบอยอิฐแดงที่เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง ครั้งหนึ่งเคยทำรายได้แตะกว่า 500 ล้านบาทต่อปี และขยายสาขากว่า 30 แห่งทั่วประเทศ แต่เวลาผ่านไป โลกเปลี่ยน และพฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนตาม แบรนด์ในตำนานที่เคยยิ่งใหญ่ ค่อย ๆ เงียบเสียงลง เหลือเพียง 3 สาขาที่พยายามยืนหยัดในวันที่ธุรกิจสั่นคลอน

 

และในวันที่หลายคนคิดว่า “13 เหรียญ” อาจเหลือเพียงชื่อในความทรงจำ ทายาทรุ่นที่สองของผู้ก่อตั้ง พรวฤณ นิติวนะกุล หรือ คุณกิฟท์ ตัดสินใจกลับมาสานต่อร้านอาหารที่ผูกพันกับชีวิตเธอมาตั้งแต่เด็ก พร้อมภารกิจ “ฟื้นตำนานให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง” ในช่วงที่ผ่านมาเธอได้รีแบรนด์ครั้งใหญ่ พร้อมสื่อสารเรื่องราวของแบรนด์ผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อให้คนรับรู้ว่า แบรนด์ยังคงอยู่ ไม่ได้หายไปไหน

 

จากซีแอตเทิลถึงกรุงเทพฯ

 

เรื่องราวของ 13 เหรียญ เริ่มต้นขึ้นในปี 2519 เมื่อ “สมชาย นิติวนะกุล” หนุ่มไทยผู้เคยทำงานในร้านอาหารที่เมืองซีแอตเทิล ตัดสินใจนำประสบการณ์ทั้งหมดกลับมาสร้างร้านอาหารของตัวเองในประเทศไทย

ตำนาน “13 เหรียญ” อดีตเคยดัง แต่หายไปเพราะไม่มีโซเชียลมีเดีย

เขาตั้งชื่อร้านว่า “13 เหรียญ” ตามชื่อร้าน “13 Coins” ที่เคยทำงานอยู่ ร้านแรกเปิดที่รามคำแหง 29 ด้วยเมนูสเต๊กจานโตและขนมปังอบเนยหอม ๆ จนกลายเป็นที่พูดถึงอย่างรวดเร็ว บรรยากาศร้านอิฐแดง ผ้าปูโต๊ะลายตาราง และเสียงหัวเราะของครอบครัวในมื้อค่ำ ทำให้ “13 เหรียญ” กลายเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของใครหลายคน

 

“คุณพ่อทำงานในหลายตำแหน่ง ตั้งแต่ เด็กเสิร์ฟ พนักงานล้างจาน จนกระทั่งได้เป็นเชฟ คุณพ่อมีความ พรสวรรค์ในการทำอาหาร อย่างมาก” พรวฤณ เล่าผ่านโซเชียลมีเดีย 13 Coins 13 เหรียญ

ตำนาน “13 เหรียญ” อดีตเคยดัง แต่หายไปเพราะไม่มีโซเชียลมีเดีย

จากรุ่งโรจน์สู่ร่วงโรย

 

เมื่อธุรกิจเติบโต ร้านขยายสาขาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่การขยายตัวอย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นดาบสองคม การบริหารเริ่มกระจาย ความใส่ใจในร้านอาหาร ธุรกิจหลักของครอบครัว ค่อย ๆ จางลง ประกอบกับยุคใหม่ของร้านอาหารที่แข่งขันกันด้วยภาพลักษณ์ ความเร็ว และการตลาดออนไลน์

 

แบรนด์ที่เคยเป็นไอคอนของความอร่อย เริ่มถูกมองว่าเก่า ไม่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่จากยอดขายปีละ 500 ล้านบาท กลายเป็นหนี้สินกว่า 500 ล้านบาทในช่วงปี 2550 หลายสาขาต้องทยอยปิดตัวลง ทรัพย์สินบางส่วนถูกขายเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ จนเหลือเพียง 3 สาขาหลักที่ยังคงเปิดดำเนินการอยู่ คือ บางใหญ่, งามวงศ์วาน และสุขุมวิท 49 

 

การเปลี่ยนผ่านสู่ทายาทรุ่นสอง 

 

สำหรับ พรวฤณ เติบโตมากับธุรกิจร้านอาหารของครอบครัว เธอเป็นลูกสาวคนสุดท้อง ก่อนจะเข้ามาบริหารธุรกิจอย่างเต็มตัว เริ่มต้นจากการดูแลส่วนของโรงแรม ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจของครอบครัว แต่ภายหลังคุณพ่อป่วยหนัก ทำให้ในปี 2563 เธอจำเป็นต้องกลับเข้ามารับไม้ต่ออย่างเต็มตัว 

 

ตำนาน “13 เหรียญ” อดีตเคยดัง แต่หายไปเพราะไม่มีโซเชียลมีเดีย

จุดเปลี่ยน ความคิดถึงแบรนด์คือแรงผลักดัน

 

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้น พรวฤณ เล่าว่า ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ร้าน 13 เหรียญ ไม่มีการทำตลาดใด ๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Instagram อาศัยเพียงการบอกเล่าผ่าน "ปากต่อปาก" เท่านั้น สาเหตุที่ร้านหลีกเลี่ยงโซเชียลมีเดียมาโดยตลอดคือความกังวลว่าจะมี ดราม่า เนื่องจากเมื่อมีคนมารีวิว อาจมีคอมเมนต์ด้านลบ เช่น "การติว่า ร้านเก่ามาก หรือ อับมากซึ่งทางร้านกลัวว่าคอมเมนต์เหล่านี้จะทำให้ลูกค้าไม่กล้าเข้ามา"

 

อย่างไรก็ตาม ร้านได้เผชิญหน้ากับ จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ในช่วง โควิด-19 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ คุณพ่อป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย

 

“วันหนึ่ง เราได้พบโพสต์ใน Facebook ที่เขียนว่า 13 เหรียญปิดกิจการหมดแล้ว และแนะนำให้ลูกค้าไปทานร้านอื่นแทน เหตุการณ์นี้ทำให้ลูกค้าหลายคนเข้าใจผิดและโทรเข้ามาสอบถามจำนวนมาก ทำให้ต้องกลับมาทบทวนว่าคอมเมนต์ด้านลบที่เคยกลัวนั้น เป็นเรื่องจริง และสิ่งที่ต้องทำคือการ ยอมรับ นำกลับมาปรับปรุง และพัฒนา”

 

ทำให้การตัดสินใจเข้าสู่โลกออนไลน์เกิดขึ้น พรวฤณ ซึ่งขณะนั้นอายุเพียง 20 กว่า ๆ และยังไม่ค่อยมีวุฒิภาวะนัก นึกถึงลูกน้องหลายสิบชีวิต ที่รอคอยอยู่ ด้วยเหตุนี้ 13 เหรียญจึงเริ่มมี โซเชียลมีเดีย ขึ้นมาเพื่อแจ้งให้ลูกค้าทราบว่า 13 เหรียญยังไม่ปิดกิจการและยังมีอยู่ ส่งผลให้ลูกค้าประจำที่คิดถึงร้านกลับมาทานเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

 

ฟื้นฟูแบรนด์ ขนาดที่เล็กลง มีกลยุทธ์ที่ชัดเจน

 

นอกจากนี้ ยังได้มีการรีแบรนด์ครั้งใหญ่เริ่มต้นจากการปิดสาขาพระราม 9 ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 14 ไร่ และย้ายมาเปิดร้านเล็กๆ แห่งใหม่ที่สุขุมวิท 49 ภายใต้แนวคิด “เล็กแต่ควบคุมได้” พื้นที่ร้านขนาด 2 คูหา จำนวนโต๊ะเพียง 60 ที่นั่ง บริหารจัดการง่าย และสามารถควบคุมคุณภาพได้ดีกว่า

 

เธอยอมรับว่ายุคของร้านอาหารขนาดใหญ่บนพื้นที่หลายไร่ได้หมดลงแล้ว เพราะต้นทุนสูง และยากต่อการดึงคนเข้าร้าน สิ่งสำคัญในวันนี้คือการเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า และปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง

 

ร้านใหม่มีการปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยขึ้น แต่ยังคงกลิ่นอายความทรงจำเดิม เช่น ภาพคุณพ่อ ภาพร้านในอดีต และข้อความ “คิดถึง 13 เหรียญ” ถูกนำมาใช้ตกแต่งอย่างมีนัยยะ

ตำนาน “13 เหรียญ” อดีตเคยดัง แต่หายไปเพราะไม่มีโซเชียลมีเดีย

 

พ่อครัวของร้านในปัจจุบันหลายคนยังคงเป็นทีมดั้งเดิมที่ร่วมงานกับคุณสมชายมาตั้งแต่ยุคแรก นับเป็นการสืบทอดทั้งฝีมือและจิตวิญญาณของร้านมาอย่างต่อเนื่องยอิงจากข้อมูลจริงจากระบบ POS ว่าลูกค้านิยมอะไร

 

สำหรับเมนูที่ถือเป็น นางเอกกับพระเอก ที่ขายดีตลอด 48 ปี คือ ไก่ อลาสก้า และ หอยลายอบเนยกระเทียม ไก่อลาสก้า คือไก่ชุบแป้งทอดที่โปะด้วยชีส เสิร์ฟคู่กับสปาเกตตี้ซอสไก่ เมนูนี้เป็นที่ชื่นชอบตั้งแต่รุ่นเด็กไปจนถึงรุ่นคุณปู่คุณย่า (อากง อาม่า)

 

เธอทิ้งท้ายว่า ปัจจุบัน หากคิดถึงความทรงจำในตำนานและคิดถึง 13 เหรียญ ลูกค้าสามารถแวะไปที่สาขา งามวงศ์วาน และสาขา บางใหญ่ได้ โดยร้านยังคงรูปแบบเดิม ๆ เอาไว้

 

 

Sorce :รวบรวมข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย 13 Coins 13 เหรียญ, ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ 

 

เครดิตภาพ : 13 Coins 13 เหรียญ , กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวล่าสุด

กฤษฎีกาตีตก สลากเพื่อการออมL6 ไม่ถูกคืนเงิน ชี้เกินอำนาจสนง.สลากฯ