“ทัศศาปันกัน” หนุนโคมล้านนา ยกระดับอาชีพชุมชน ลดเหลื่อมล้ำ
“ทัศศาปันกัน” SE รุ่นใหม่ ปลุกโคมล้านนาให้เป็นรายได้ตลอดปี เชื่อมวัด–ชุมชน–โรงเรียน ลดเหลื่อมล้ำ สร้างเศรษฐกิจชุมชนยั่งยืนเชียงใหม่
KEY
POINTS
- แก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำของช่างทำโคมล้านนา ที่ถูกพ่อค้าคนกลางกดราคาจนมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์และไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ
- ก่อตั้งกิจการเพื่อสังคม “ทัศศาปันกัน” เป็นกลไกกลางในการเพิ่มมูลค่าโคม โดยร่วมมือกับวัดสำคัญสร้างสรรค์ "โคมมงคล" ที่มีอัตลักษณ์ และขยายช่องทางการตลาดใหม่ๆ
- ยกระดับอาชีพชุมชนให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 3-4 เท่า จากการเพิ่มราคาขายโคมจาก 7 บาทเป็น 99-100 บาท และกระจายรายได้อย่างเป็นธรรมสู่คนในห่วงโซ่การผลิตทั้งหมด
เชียงใหม่ เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมและประเพณีอันงดงาม นักท่องเที่ยวที่มาเยือนต่างหลงใหลในเสน่ห์ของวิถีชีวิต อาหาร และความเชื่อเก่าแก่ของผู้คน มากกว่าสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่ที่ผุดขึ้นเต็มเมือง แต่ในขณะที่เมืองเติบโตอย่างรวดเร็ว ชุมชนดั้งเดิมกลับถูกกดดันด้วยค่าครองชีพที่สูงขึ้น รายได้ที่ไม่เพียงพอ และโอกาสใหม่ ๆ ที่เข้าถึงได้ยาก
ในย่านเมืองเก่าและรอบนอก ชุมชนดั้งเดิมต้องเผชิญกับแรงกดดันจากความเจริญสมัยใหม่ ค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้ครอบครัวจำนวนไม่น้อยเริ่มลำบาก รายได้จากงานหัตถกรรมและการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เพียงพอ ขณะที่โอกาสใหม่ ๆ มักถูกผูกขาดโดยผู้มีทุนและธุรกิจรายใหญ่ คนตัวเล็กที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน มักจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
"โคมล้านนา"จากแสงแห่งศรัทธา สู่เศรษฐกิจที่เปราะบาง
หนึ่งในสัญลักษณ์ที่คนทั่วโลกคุ้นตาเมื่อพูดถึงเชียงใหม่ คือ “โคมล้านนา” ที่ส่องสว่างในงานประเพณียี่เป็ง ทุกเดือนยี่ (พฤศจิกายน) ท้องฟ้าเหนือแม่น้ำปิงจะเต็มไปด้วยโคมไฟนับพันนับหมื่นดวง ผู้คนเชื่อว่าแสงโคมคือสิริมงคลที่จะนำความเจริญรุ่งเรืองมาให้
แต่ความจริงเบื้องหลังโคมหนึ่งลูก กลับไม่สดใสเท่าแสงที่เปล่งออกมา ผู้ผลิตโคมจำนวนมาก โดยเฉพาะในตำบลท่าศาลา อำเภอเมืองเชียงใหม่ ใช้แรงกายวันละหลายชั่วโมงเพื่อทำโคมส่งต่อให้พ่อค้าคนกลาง โคมที่ขายได้เพียง 7 บาทต่อชิ้น ทำให้ในหนึ่งวัน แม้ทำได้ 20 โคม รายได้ก็ยังไม่ถึงค่าแรงขั้นต่ำ เมื่อวิเคราะห์โครงสร้างรายได้พบว่า คนทำโคมได้ผลตอบแทนน้อยที่สุด ในขณะที่พ่อค้าคนกลางกลับเป็นผู้กำไรหลักจากงานฝีมือเหล่านี้
นี่คือ “กับดักความยากจน” ที่คนทำโคมต้องเผชิญมานานหลายสิบปี
จาก Pain Point สู่โจทย์วิจัย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุบัน พรเวียง จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มองเห็นว่า “เรื่องปากท้อง” เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาทุกมิติ หากคนในชุมชนไม่สามารถเลี้ยงชีพได้จากสิ่งที่ทำมาแต่เดิม ไม่เพียงภูมิปัญญาจะสูญหาย แต่ความเหลื่อมล้ำจะยิ่งรุนแรง
จึงเกิดโครงการ “พัฒนาศักยภาพทางธุรกิจและการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์โคมล้านนา” ปีที่ 2 ภายใต้กรอบวิจัย “Local Enterprises” (LE) เพื่อยกระดับอาชีพดั้งเดิม โดยได้รับการสนับสนุนจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)
โจทย์สำคัญของงานวิจัยนี้คือ
- พลิกอาชีพทำโคมจากรายได้เฉพาะช่วงประเพณี ให้เป็นอาชีพที่สร้างรายได้ตลอดทั้งปี
- แก้ Pain Point 3 ด้านหลัก คือ ศักยภาพผู้ประกอบการ, คุณภาพผลิตภัณฑ์, และการตลาด
- ทำให้โคมล้านนากลายเป็น “มูลค่าใหม่บนรากฐานเดิม”
การถือกำเนิดของ “ทัศศาปันกัน”
เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริง ไม่ใช่เพียงงานวิจัยในห้องประชุม ทีมงานได้พัฒนา “บริษัท ทัศศา ปันกัน” ขึ้นมาในรูปแบบ Social Enterprise (SE) เป็นกลไกกลางที่เชื่อมโยงผู้ผลิต ผู้ซื้อ และวัด
บทบาทสำคัญของทัศศาปันกันคือ สร้างโคมมงคลใหม่ ร่วมกับวัดสำคัญ 5 แห่ง ได้แก่ วัดดอนจั่น วัดยางกวง วัดล่ามช้าง วัดศรีดอนไชย และวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ โดยนำอัตลักษณ์และความเชื่อของแต่ละวัดมาถ่ายทอดลงบนโคม ไม่ว่าจะเป็นลวดลาย วัสดุ สีสัน หรือรูปทรง
กระจายออเดอร์อย่างเป็นธรรม ไม่ให้เกิดการแข่งขันในชุมชน แต่จัดงานไปตามความถนัดของแต่ละกลุ่ม ทั้งผู้ผลิตหลักและโรงเรียนเครือข่าย
สร้างช่องทางใหม่ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เช่น ให้ผู้ศรัทธาฝากบูชาโคมผ่าน Facebook: ทัศศา – Tassa ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทีมงานจะเป็นตัวแทนนำโคมไปแขวนที่วัดให้จริง
ต่อยอดสู่ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว เช่น การทำโคมประดับโรงแรมเซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ เชียงใหม่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสัมผัสงานหัตถกรรมแท้ ๆ
แสงใหม่จากโคม รายได้ที่เปลี่ยนชีวิต
ผลลัพธ์ที่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล จากโคม 7 บาทที่แทบไม่พอเลี้ยงครอบครัว กลายเป็นโคมมงคลที่ขายได้ 99–100 บาทต่อชิ้น รายได้ผู้ผลิตเพิ่มขึ้น 3–4 เท่าต่อวัน และที่สำคัญ รายได้เหล่านี้ถูกกระจายกลับไปยังห่วงโซ่ทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นคนทำโครงไม้ ช่างติดกระดาษ ช่างปักผ้า หรือแม้แต่เด็กนักเรียนในโรงเรียนเครือข่ายที่เข้ามาเรียนรู้และทดลองทำโคมผ่านกิจกรรม “ยุวทัศศาปันกัน” ทุกคนได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรม
นางสาวศิริรักษ์ คันธวงค์ รองประธานวิสาหกิจชุมชนสินค้าพื้นถิ่นตำบลท่าศาลา เล่าว่า เดิมทีต่างคนต่างทำ แข่งขันกันเองเพราะรายได้น้อย แต่เมื่อมีทัศศาเข้ามา ทุกคนเห็นภาพความสำเร็จร่วมกัน การรวมกลุ่มจึงเกิดขึ้นจริง รายได้ไม่เพียงอยู่ในตำบล แต่ยังขยายไปยังหมู่บ้านข้างเคียง และหมู่บ้านต้นน้ำที่ผลิตไม้และกระดาษ
มิติที่เปลี่ยนไปมากกว่ารายได้
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้สะท้อนเพียง “เศรษฐกิจ” แต่ยังขยายผลไปสู่หลายมิติ
มิติสังคม เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และวางแผนร่วมกัน ความสัมพันธ์ในชุมชนกลับมามีชีวิตชีวา
มิติสุขภาพ การทำงานเป็นทีมช่วยลดความเครียด สร้างสุขภาวะทางใจ และเป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้สูงอายุกับเด็ก ๆ
มิติการศึกษา โรงเรียนหลายแห่งบูรณาการการทำโคมเข้ากับหลักสูตรท้องถิ่น ผ่านโมเดล “ยุวทัศศาปันกัน” ที่ให้เด็ก ๆ ทดลองทำงานจริงในบทบาทผู้จัดการ ฝ่ายบัญชี ฝ่ายการตลาด ฯลฯ
มิติความยั่งยืน มหาวิทยาลัยและทีมวิจัยเองก็เติบโตไปพร้อมชุมชน ความรู้ที่ได้จาก LE ถูกฝังลงในท้องถิ่น กลายเป็นต้นแบบที่สามารถขยายไปยังชุมชนอื่น ๆ
จากโคมเล็ก ๆ สู่ต้นแบบลดเหลื่อมล้ำ
การเดินทางของทัศศาปันกันสะท้อนให้เห็นว่า การพัฒนาชุมชนไม่จำเป็นต้องเริ่มจากสิ่งใหม่เสมอไป บางครั้งการ “พลิกคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่แล้ว” ให้กลายเป็นรายได้และความภาคภูมิใจ ก็สามารถลดความเหลื่อมล้ำได้จริง
ทุกโคมที่แขวนในวัดเชียงใหม่ ไม่เพียงส่องสว่างในยามค่ำคืน แต่ยังส่องทางให้ผู้คนในชุมชนเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง


