posttoday

“ทัศศาปันกัน” หนุนโคมล้านนา ยกระดับอาชีพชุมชน ลดเหลื่อมล้ำ

27 สิงหาคม 2568

“ทัศศาปันกัน” SE รุ่นใหม่ ปลุกโคมล้านนาให้เป็นรายได้ตลอดปี เชื่อมวัด–ชุมชน–โรงเรียน ลดเหลื่อมล้ำ สร้างเศรษฐกิจชุมชนยั่งยืนเชียงใหม่

KEY

POINTS

  • แก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำของช่างทำโคมล้านนา ที่ถูกพ่อค้าคนกลางกดราคาจนมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์และไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ
  • ก่อตั้งกิจการเพื่อสังคม “ทัศศาปันกัน” เป็นกลไกกลางในการเพิ่มมูลค่าโคม โดยร่วมมือกับวัดสำคัญสร้างสรรค์ "โคมมงคล" ที่มีอัตลักษณ์ และขยายช่องทางการตลาดใหม่ๆ
  • ยกระดับอาชีพชุมชนให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 3-4 เท่า จากการเพิ่มราคาขายโคมจาก 7 บาทเป็น 99-100 บาท และกระจายรายได้อย่างเป็นธรรมสู่คนในห่วงโซ่การผลิตทั้งหมด

เชียงใหม่ เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมและประเพณีอันงดงาม นักท่องเที่ยวที่มาเยือนต่างหลงใหลในเสน่ห์ของวิถีชีวิต อาหาร และความเชื่อเก่าแก่ของผู้คน มากกว่าสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่ที่ผุดขึ้นเต็มเมือง แต่ในขณะที่เมืองเติบโตอย่างรวดเร็ว ชุมชนดั้งเดิมกลับถูกกดดันด้วยค่าครองชีพที่สูงขึ้น รายได้ที่ไม่เพียงพอ และโอกาสใหม่ ๆ ที่เข้าถึงได้ยาก

 

“ทัศศาปันกัน” หนุนโคมล้านนา ยกระดับอาชีพชุมชน ลดเหลื่อมล้ำ

 

ในย่านเมืองเก่าและรอบนอก ชุมชนดั้งเดิมต้องเผชิญกับแรงกดดันจากความเจริญสมัยใหม่ ค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้ครอบครัวจำนวนไม่น้อยเริ่มลำบาก รายได้จากงานหัตถกรรมและการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เพียงพอ ขณะที่โอกาสใหม่ ๆ มักถูกผูกขาดโดยผู้มีทุนและธุรกิจรายใหญ่ คนตัวเล็กที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน มักจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

 

“ทัศศาปันกัน” หนุนโคมล้านนา ยกระดับอาชีพชุมชน ลดเหลื่อมล้ำ

 

"โคมล้านนา"จากแสงแห่งศรัทธา สู่เศรษฐกิจที่เปราะบาง

หนึ่งในสัญลักษณ์ที่คนทั่วโลกคุ้นตาเมื่อพูดถึงเชียงใหม่ คือ “โคมล้านนา” ที่ส่องสว่างในงานประเพณียี่เป็ง ทุกเดือนยี่ (พฤศจิกายน) ท้องฟ้าเหนือแม่น้ำปิงจะเต็มไปด้วยโคมไฟนับพันนับหมื่นดวง ผู้คนเชื่อว่าแสงโคมคือสิริมงคลที่จะนำความเจริญรุ่งเรืองมาให้

 

แต่ความจริงเบื้องหลังโคมหนึ่งลูก กลับไม่สดใสเท่าแสงที่เปล่งออกมา ผู้ผลิตโคมจำนวนมาก โดยเฉพาะในตำบลท่าศาลา อำเภอเมืองเชียงใหม่ ใช้แรงกายวันละหลายชั่วโมงเพื่อทำโคมส่งต่อให้พ่อค้าคนกลาง โคมที่ขายได้เพียง 7 บาทต่อชิ้น ทำให้ในหนึ่งวัน แม้ทำได้ 20 โคม รายได้ก็ยังไม่ถึงค่าแรงขั้นต่ำ เมื่อวิเคราะห์โครงสร้างรายได้พบว่า คนทำโคมได้ผลตอบแทนน้อยที่สุด ในขณะที่พ่อค้าคนกลางกลับเป็นผู้กำไรหลักจากงานฝีมือเหล่านี้

 

“ทัศศาปันกัน” หนุนโคมล้านนา ยกระดับอาชีพชุมชน ลดเหลื่อมล้ำ

 

นี่คือ “กับดักความยากจน” ที่คนทำโคมต้องเผชิญมานานหลายสิบปี


 

จาก Pain Point สู่โจทย์วิจัย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุบัน พรเวียง จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มองเห็นว่า “เรื่องปากท้อง” เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาทุกมิติ หากคนในชุมชนไม่สามารถเลี้ยงชีพได้จากสิ่งที่ทำมาแต่เดิม ไม่เพียงภูมิปัญญาจะสูญหาย แต่ความเหลื่อมล้ำจะยิ่งรุนแรง

 

จึงเกิดโครงการ “พัฒนาศักยภาพทางธุรกิจและการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์โคมล้านนา” ปีที่ 2 ภายใต้กรอบวิจัย “Local Enterprises” (LE) เพื่อยกระดับอาชีพดั้งเดิม โดยได้รับการสนับสนุนจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)

 

โจทย์สำคัญของงานวิจัยนี้คือ

  • พลิกอาชีพทำโคมจากรายได้เฉพาะช่วงประเพณี ให้เป็นอาชีพที่สร้างรายได้ตลอดทั้งปี
  • แก้ Pain Point 3 ด้านหลัก คือ ศักยภาพผู้ประกอบการ, คุณภาพผลิตภัณฑ์, และการตลาด
  • ทำให้โคมล้านนากลายเป็น “มูลค่าใหม่บนรากฐานเดิม”

 

“ทัศศาปันกัน” หนุนโคมล้านนา ยกระดับอาชีพชุมชน ลดเหลื่อมล้ำ


การถือกำเนิดของ “ทัศศาปันกัน”

เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริง ไม่ใช่เพียงงานวิจัยในห้องประชุม ทีมงานได้พัฒนา “บริษัท ทัศศา ปันกัน” ขึ้นมาในรูปแบบ Social Enterprise (SE) เป็นกลไกกลางที่เชื่อมโยงผู้ผลิต ผู้ซื้อ และวัด

 

บทบาทสำคัญของทัศศาปันกันคือ สร้างโคมมงคลใหม่ ร่วมกับวัดสำคัญ 5 แห่ง ได้แก่ วัดดอนจั่น วัดยางกวง วัดล่ามช้าง วัดศรีดอนไชย และวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ โดยนำอัตลักษณ์และความเชื่อของแต่ละวัดมาถ่ายทอดลงบนโคม ไม่ว่าจะเป็นลวดลาย วัสดุ สีสัน หรือรูปทรง


กระจายออเดอร์อย่างเป็นธรรม ไม่ให้เกิดการแข่งขันในชุมชน แต่จัดงานไปตามความถนัดของแต่ละกลุ่ม ทั้งผู้ผลิตหลักและโรงเรียนเครือข่าย


สร้างช่องทางใหม่ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เช่น ให้ผู้ศรัทธาฝากบูชาโคมผ่าน Facebook: ทัศศา – Tassa ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทีมงานจะเป็นตัวแทนนำโคมไปแขวนที่วัดให้จริง

 

“ทัศศาปันกัน” หนุนโคมล้านนา ยกระดับอาชีพชุมชน ลดเหลื่อมล้ำ

 

ต่อยอดสู่ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว เช่น การทำโคมประดับโรงแรมเซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ เชียงใหม่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสัมผัสงานหัตถกรรมแท้ ๆ

 

แสงใหม่จากโคม รายได้ที่เปลี่ยนชีวิต

ผลลัพธ์ที่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล จากโคม 7 บาทที่แทบไม่พอเลี้ยงครอบครัว กลายเป็นโคมมงคลที่ขายได้ 99–100 บาทต่อชิ้น รายได้ผู้ผลิตเพิ่มขึ้น 3–4 เท่าต่อวัน และที่สำคัญ รายได้เหล่านี้ถูกกระจายกลับไปยังห่วงโซ่ทั้งหมด

 

ไม่ว่าจะเป็นคนทำโครงไม้ ช่างติดกระดาษ ช่างปักผ้า หรือแม้แต่เด็กนักเรียนในโรงเรียนเครือข่ายที่เข้ามาเรียนรู้และทดลองทำโคมผ่านกิจกรรม “ยุวทัศศาปันกัน” ทุกคนได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรม

 

“ทัศศาปันกัน” หนุนโคมล้านนา ยกระดับอาชีพชุมชน ลดเหลื่อมล้ำ

 

นางสาวศิริรักษ์ คันธวงค์ รองประธานวิสาหกิจชุมชนสินค้าพื้นถิ่นตำบลท่าศาลา เล่าว่า เดิมทีต่างคนต่างทำ แข่งขันกันเองเพราะรายได้น้อย แต่เมื่อมีทัศศาเข้ามา ทุกคนเห็นภาพความสำเร็จร่วมกัน การรวมกลุ่มจึงเกิดขึ้นจริง รายได้ไม่เพียงอยู่ในตำบล แต่ยังขยายไปยังหมู่บ้านข้างเคียง และหมู่บ้านต้นน้ำที่ผลิตไม้และกระดาษ

 

มิติที่เปลี่ยนไปมากกว่ารายได้

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้สะท้อนเพียง “เศรษฐกิจ” แต่ยังขยายผลไปสู่หลายมิติ

มิติสังคม เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และวางแผนร่วมกัน ความสัมพันธ์ในชุมชนกลับมามีชีวิตชีวา

มิติสุขภาพ การทำงานเป็นทีมช่วยลดความเครียด สร้างสุขภาวะทางใจ และเป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้สูงอายุกับเด็ก ๆ

มิติการศึกษา โรงเรียนหลายแห่งบูรณาการการทำโคมเข้ากับหลักสูตรท้องถิ่น ผ่านโมเดล “ยุวทัศศาปันกัน” ที่ให้เด็ก ๆ ทดลองทำงานจริงในบทบาทผู้จัดการ ฝ่ายบัญชี ฝ่ายการตลาด ฯลฯ

มิติความยั่งยืน มหาวิทยาลัยและทีมวิจัยเองก็เติบโตไปพร้อมชุมชน ความรู้ที่ได้จาก LE ถูกฝังลงในท้องถิ่น กลายเป็นต้นแบบที่สามารถขยายไปยังชุมชนอื่น ๆ

 

“ทัศศาปันกัน” หนุนโคมล้านนา ยกระดับอาชีพชุมชน ลดเหลื่อมล้ำ

 

จากโคมเล็ก ๆ สู่ต้นแบบลดเหลื่อมล้ำ

การเดินทางของทัศศาปันกันสะท้อนให้เห็นว่า การพัฒนาชุมชนไม่จำเป็นต้องเริ่มจากสิ่งใหม่เสมอไป บางครั้งการ “พลิกคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่แล้ว” ให้กลายเป็นรายได้และความภาคภูมิใจ ก็สามารถลดความเหลื่อมล้ำได้จริง

 

ทุกโคมที่แขวนในวัดเชียงใหม่ ไม่เพียงส่องสว่างในยามค่ำคืน แต่ยังส่องทางให้ผู้คนในชุมชนเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

 

“ทัศศาปันกัน” หนุนโคมล้านนา ยกระดับอาชีพชุมชน ลดเหลื่อมล้ำ

ข่าวล่าสุด

ทบ. ชี้หลักฐานชัด กัมพูชาเปิดฉากยิง ทำทหารไทยเจ็บ 2 นายในเขตไทย