ขุมทรัพย์จีนยุคใหม่ยึด "ห้วยขวาง" รุกธุรกิจอาหาร เปิด 24 ชั่วโมง
สำรวจขุมทรัพย์จีนยุคใหม่ยึด "ห้วยขวาง" รุกธุรกิจอาหาร เปิด 24 ชั่วโมง เดลิเวอรี่คึกคัก สะท้อนค่านิยมรวมกันเป็นกลุ่มคนจีนยุคใหม่
KEY
POINTS
- สำรวจห้วยขวาง ขุมทรัพย์คนจีนยุคใหม่ ปี 2568 ย่านนี้ไม่เคยหลับใหล ร้านค้า-ร้านอาหาร เปิด 24 ชั่วโมง
- เดลิเวอรี่ E-Gets คึกคักบริเวณถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ ส่งอาหารคนจีน
- นักวิชาการสะท้อนชาวจีนบางส่วนใช้ความ 'หัวแหลม' ในการแสวงหาโอกาสนอกประเทศ ยกกรณีป้ายโฆษณาชวนซื้อพาสปอร์ต หรือสัญชาติเพื่อความคล่องตัวในการทำธุรกิจ
พื้นที่เล็ก ๆ เขตห้วยขวาง บริเวณถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ ถูกขนานนามว่าเป็น “ไชน่าทาวน์ แห่งที่ 2” ของกรุงเทพฯ เมื่อ 2-3 ปีก่อน
แม้ว่าซอยนี้จะคับแคบ แต่กลับมีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น มีจำนวนชาวจีนที่อาศัยอยู่ย่านนี้ไม่น้อย
ตลอดทางตั้งแต่ต้นซอยจนถึงท้ายซอยเต็มไปด้วยร้านอาหารจีน ร้านหม่าล่า ชาบู มินิมาร์ท ซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน ร้านนวดแผนโบราณ คาเฟ่ โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ-จีน ฯลฯ โดยตกแต่งและมีป้ายชื่อร้านเป็นภาษาจีนขนาดใหญ่
ที่น่าสนใจ หลายร้านเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เพียงเท่านั้น ยังพบเห็นเดลิเวอรี่สัญชาติจีนชื่อ E-Gets ที่วิ่งอยู่เต็มถนน
แม้ว่าในปี 2567 ที่ผ่านมาจะพบว่าธุรกิจในย่านนี้ทยอยปิดกิจการลง เพราะติดขัดเรื่องการขออนุญาต หลังสำนักงานเขตห้วยขวาง เข้ามากวดขันตรวจสอบและพบว่าส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่ลงทุนโดยชาวจีน จึงออกคำสั่งให้ทุกร้านต้องทำใบอนุญาต
ซึ่งมีเงื่อนไขยุ่งยากหลายอย่าง เช่นต้องทำบ่อดักไขมัน มีบันไดหนีไฟ ฯลฯ หากไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกสั่งปิด หรือปรับรายวัน ทำให้บางร้านไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเช่าอาคารไม่สามารถปรับโครงสร้างอาคารเปิดร้านอาหารได้อย่างถูกต้อง จึงทยอยปิดกิจการไป
แต่ ณ ปัจจุบันยังคงพบเห็นว่า ร้านอาหาร ร้านค้าต่าง ๆ ยังคงมีไม่ต่ำกว่า 50 ร้าน ยังไม่รวมที่กระจายตัวออกไปตามย่านต่าง ๆ บนถนนรัชดาภิเษก หรือย่านพระราม 9 และอื่น ๆ
การเข้ามาของคนจีนสะท้อนอยู่หลายเรื่อง และมีความต่างจากชาวจีนยุคแรก สมัยเยาวราชเฟื่องฟู อีกทั้งยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่มักจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม
ชาวจีนนิยมอาศัยอยู่กันเป็นกลุ่ม...
ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน กล่าวกับโพสต์ทูเดย์ว่า ชาวจีนนิยมอาศัยอยู่ในเขตห้วยขวาง-รัชดา เหตุผลประการแรกเพราะใกล้กับสถานทูตจีน พวกเขามีค่านิยมอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นสังคม เมื่อไปอาศัยอยู่ที่ใดก็มักจะเลือกไปอยู่ในพื้นที่ หรือย่านเดียวกัน
อีกทั้งยังเป็นทำเลที่เดินทางได้สะดวก มีรถไฟฟ้า มีที่อยู่อาศัย และร้านอาหารเพียบพร้อม จึงไม่แปลกที่จะเห็นชาวจีนจำนวนมากอาศัยอยู่บริเวณห้วยขวาง ซึ่งเรียกว่าเป็นแหล่งของชาวจีนยุคใหม่ก็ว่าได้ เมื่อเทียบกับยุคเก่า อย่างเยาวราชแล้ว
สมัยก่อนรัชดาห้วยขวางยังไม่มีรถไฟฟ้า การเดินทางไม่ค่อยสะดวกสบายนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่มีกลุ่มนักลงทุนค่อย ๆ เข้ามาลงทุนที่ห้วยขวาง-รัชดา เพราะว่าต้นทุนต่ำเมื่อเทียบกับเยาวราชยุคก่อน แต่ ณ ตอนนี้ห้วยขวางเริ่มเจริญเติบโตมากขึ้น ก็เริ่มที่จะขยับขยายอาณาเขตออกไปมากขึ้น
“ทั้งนี้ การลงทุนทำธุรกิจของชาวจีนในประเทศไทย ผมมองว่ามีข้อกังวลน้อยมาก หากเป็นธุรกิจสีขาว คิดว่าเป็นปัจจัยบวกด้วยซ้ำ เพราะห้วยขวางกลายเป็นไชน่าทาวน์ที่สอง ไม่ค่อยมีเมืองไหนในโลกที่มีไชน่าทาวน์สองแห่งเกิดขึ้น
สะท้อนว่าไทยกับจีน ความสัมพันธ์ดี พลังการดึงดูดด้านเศรษฐกิจจีนแรงมากพอ โดยที่เยาวราชอาจเป็นแรงดึงดูดของคนจีนยุคแรก แต่โซนห้วยขวางคือแหล่งของคนจีนยุคใหม่และอาจเติบโตต่อไปได้เรื่อย ๆ”
เมื่อจีนแทรกซึมมาก ๆ อาจกระทบภาพลักษณ์ห้วยขวาง
ดร.ไพจิตร กล่าวต่อว่า แต่สิ่งที่กังวลคือ เมื่อความเป็นจีนแทรกซึมเข้ามาในไทยมาก ๆ อาจทำให้ภาพลักษณ์ของห้วยขวางไม่ค่อยดีนัก เพราะแม้ว่าคนจีนที่เข้ามาทำธุรกิจผิดกฏหมาย หรือนำเข้าสินค้าไม่ได้ผ่านมาตรฐาน จะมีจำนวนน้อย เมื่อเทียบกับปริมาณประชากรของคนจีนที่มากกว่า 1.5 พันล้านคนแล้ว บางคนไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศไทยด้วยซ้ำ แต่ทว่าได้ทำลายภาพลักษณ์ของคนจีนไปแล้ว
จะเห็นได้จากกรณีข่าวเกี่ยวกับทุนจีนสีเทาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และคนเหล่านี้ทักเข้าถึงศูนย์กลางอำนาจของไทย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วมองว่าเป็นการทำลายโอกาสของประเทศไทย ด้านนึงก็ทำให้ภาพลักษณ์การลงทุนจากจีนที่ถูกกฏหมายเสีย ซึ่งผลกระทบใหญ่คือสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของเรา
บางคนเข้ามาถือสัญชาติไทย สิ่งที่คนเหล่านี้กลัวคือการเพิกถอนสัญชาติ จึงอยากเสนอรัฐว่าให้จับคนทำผิด เพิกถอนสัญชาติและส่งกลับ จุดยืนรัฐบาลต้องชัดเจนว่าไม่ควรให้มีทุนที่เข้ามาไม่ถูกต้อง ไม่ว่าประเทศ หรือสัญชาติไหนก็ตาม
การเข้ามาของคนจีนย่านห้วยขวางสะท้อนอะไรบ้าง?
ดร.กุลนรี นุกิจรังสรรค์ สถาบันเอเชียศึกษา วิเคราะห์ว่า คนจีนจำนวนไม่น้อยที่วางแผนจะออกไปเติบโตนอกประเทศและไม่ได้คิดจะกลับไปพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนอีก คนกลุ่มนี้ก็สนใจเรื่องการซื้อพาสปอร์ตและการเปลี่ยนสัญชาติ
อย่างเมื่อกลางปี 2567 ที่ผ่านมา พบป้ายโฆษณาภาษาจีนที่สี่แยกห้วยขวาง มีเนื้อหาแปลเป็นใจความว่า “ซื้อพาสปอร์ตอพยพด่วน ได้รับสัญชาติถูกกฎหมาย 100% ภายใน 30 วัน ปลอดภัย เป็นความลับ ทำก่อนจ่ายทีหลัง” ถือว่าเรียกความสนใจจากสังคมไทยเป็นอย่างมาก และสร้างความร้อนๆ หนาวๆ ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่น้อย
กรณีนี้สะท้อนว่าแม้จะต้องลงทุนควักกระเป๋าจ่ายเงินก้อนโตแต่ถ้าได้ประโยชน์คุ้มค่า คนจีนกลุ่มนี้ก็พร้อมที่จะลงทุน ซึ่งคนจีนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนที่ออกมาทำธุรกิจการค้าในต่างประเทศ และต้องการซื้อพาสปอร์ตหรือสัญชาติ เพื่อความคล่องตัวในการทำธุรกิจ หรือเพื่อผลโยชน์ที่จะได้รับมากขึ้น เช่น กรรมสิทธิ์ในการครอบครองทรัพย์สินและอสังหาริมทรัพย์ ความสะดวกในการจดทะเบียนต่างๆ การลดหย่อนอัตราการเสียภาษี ความสะดวกในการเดินทางระหว่างประเทศ เป็นต้น
คนจีน “หัวแหลม” หาช่องทางเพื่อประโยชน์เก่ง
ทั้งนี้ ดร.กุลนรี มองว่า คนจีนส่วนใหญ่ที่ออกนอกประเทศ ก็เพื่อแสวงหาผลประโยชน์เป็นหลัก คนจีนรุ่นใหม่ต่างจากคนจีนยุคเก่าเพราะไม่มีศาสนาไม่มีหลักคำสอนที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้จิตใจขาดความเอื้ออาทรต่อกัน
ซึ่งเป็นลักษณะที่ต่างจากคนจีนรุ่นเก่าที่อพยพมาพร้อมแนวคิดความเชื่อต่างๆ เมื่อมาอยู่ไทยคนจีนรุ่นเก่าจึงยังมีการทำกิจกรรมตามความเชื่อ มีการตั้งศาลเจ้า มีมูลนิธิ โรงเรียนและสมาคมที่เป็นสาธารณประโยชน์เกิดขึ้นมากมาย
“อย่างไรก็ตามไม่ว่าผ่านไปกี่รุ่นคนจีนก็ยัง 'หัวแหลม' อยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าจะอพยพไปที่ไหนก็มักมีฐานะความเป็นอยู่ดี จำนวนมากถึงขั้นร่ำรวย
นอกเหนือจากความพยายามแล้วอีกลักษณะพิเศษหนึ่งที่คนจีนมีคือความหัวแหลมไปจนถึงขั้น “หัวหมอ” คือมีทั้งกลยุทธ์ ความพยายามในการหาช่องทางเพื่อให้ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น กำไรเพิ่มขึ้น และที่สำคัญคือได้ผลตอบแทนเร็วขึ้น”
รัฐควรตรวจสอบการเข้า-ออกประเทศ รวมถึงที่พัก และกิจกรรมของชาวจีน
อย่างกรณีฟรีวีซ่า ที่ประกาศให้ชาวจีนสามารถเข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ทำให้คนบางกลุ่มแฝงตัวเข้ามาเป็นนักท่องเที่ยวก่อนจะผันตัวทำธุรกิจแบบผิดกฏหมาย ก็นับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หัวหมอ
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช กล่าวว่า การออกกฎหมายฟรีวีซ่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรมีการประเมินผลกระทบจากนักท่องเที่ยวที่แฝงตัวเข้ามาทำธุรกิจ การเข้ามาของนักท่องเที่ยวเหล่านี้ควรมีการตรวจสอบที่พักตลอดระยะเวลาที่อยู่ในประเทศ ซึ่งประเทศอื่น ๆ จะมีการตรวจสอบคนเข้าประเทศเสมอว่า มาวันไหน กลับเมื่อไหร่ พักที่ไหน และเข้ามาทำอะไร
นอกจากนี้ยังมีความกังวลด้วยว่า คนจีนที่เข้ามาทำธุรกิจในไทยอาจใช้แรงงานจีนมากขึ้น กำลังส่งผลกระทบต่อการจ้างงานแรงงานไทยในประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานในอนาคต
คนในท้องถิ่น มองการเข้ามาของคนจีนจำนวนมากไม่ใช่ปัญหาหากมาแบบถูกกฏหมาย
โพสต์ทูเดย์ได้สำรวจพื้นที่ พร้อมพูดคุยกับผู้ประกอบการในย่านห้วยขวางรายหนึ่ง กล่าวว่า คนจีนที่เห็นส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาพร้อมกับทัวร์คณะใหญ่ และในยามค่ำคืนมักจะคึกคักเป็นพิเศษ เดินไปทางไหนก็จะพบเห็นแต่คนจีน บางครั้งรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนนอก
ซึ่งตนเองไม่ค่อยกังวลใจกับการที่มีคนจีนจำนวนมากในย่านนี้ หากเป็นนักท่องเที่ยว และคนที่เข้ามาถูกกฏหมาย แต่ที่กังวลคือเรื่องมารยาทมากกว่า
ส่วนที่มาเปิดธุรกิจร้านอาหารเห็นปริมาณเพิ่มขึ้นจากสิปปีก่อน แต่ไม่แน่ใจว่าเจ้าของที่แท้จริง เป็นคนจีนหรือไทย
ที่มาข้อมูลบางส่วน : สถาบันเอเชียศึกษา


