posttoday

หญิงไทยในบันทึก ‘จีน’ ประวัติศาสตร์สู่ 'นางเอก' บน 'ซีรีย์แนวตั้ง'

08 ธันวาคม 2568

ถ้ามองว่า 'ละคร' ก็เหมือน 'บันทึก' อย่างหนึ่ง คาแรกเตอร์ของนางเอกไทยที่จะถูกถ่ายทอดในซีรีย์แนวตั้งจีน ก็เป็นอีกหนึ่งบันทึกมุมมองของจีนที่มีต่อหญิงไทยเช่นกัน

กระแสฮือฮาในโลกออนไลน์เมื่อเห็น ‘ซีรีย์แนวตั้ง’ เรื่อง สาวไทยข้ามภพป่วนใจแม่ทัพ หยิบนางเอกไทยอย่าง ‘ลิซ่า อลิซา แอน ไฮน์ส’ สวมชุดไทยห่มสไบขี่ม้าไปกับนักแสดงหนุ่มชาวจีน ‘เหวินซู่’ ที่แต่งชุดนักรบจีนครบเครื่อง 

 

หญิงไทยในบันทึก ‘จีน’ ประวัติศาสตร์สู่ 'นางเอก' บน 'ซีรีย์แนวตั้ง'

 

ภาพเดียวนี้ทำให้ โพสต์ทูเดย์ อดสงสัยไม่ได้ว่า

 

หญิงไทยในยุคที่นุ่งห่มสไบในสายตาคนจีนที่แท้ตามประวัติศาสตร์นั้น จะถูกถ่ายทอดออกมาอย่างไร? เพราะคาแรกเตอร์ คำพูดต่างๆ ล้วนสะท้อนถึงความเข้าใจของชาวจีนที่มีต่อผู้หญิงไทยไม่มากก็น้อย

จนต้องกลับไปไล่ดูประวัติศาสตร์ หาก 'ละครแนวตั้ง' เป็นสื่ออย่างหนึ่งในยุคนี้ แล้วสื่อในยุคเก่าได้ถ่ายทอดภาพของ 'หญิงไทย' ไว้อย่างไรบ้าง? 

 

ผู้หญิงไทยในฐานะ ‘แรงงานทำงานหนัก’

 

หากย้อนไปในไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์ เรื่องราวของหญิงไทยปรากฎอยู่ในบันทึกชื่อดังของจีนอย่าง บันทึกนักเดินเรือจีนยุคโบราณ ของหมาหวน นักเดินเรือร่วมคณะเจิ้งเหอ ในสมัยราชวงศ์หมิง  หรือบันทึกประเทศเขมร-อุษาคเนย์ โดย โจวต้ากวาน ของราชวงศ์หยวน ที่แม้จะพูดถึงกัมพูชาเป็นหลักแต่ก็พอจะอนุมานได้ว่าเกี่ยวข้องกับอาณาจักรสยามด้วยในช่วงเดียวกัน

 

โดยเนื้อหาในบันทึกสะท้อนภาพหญิงสยามและหญิงในดินแดนอุษาคเนย์ในสายตานักเดินเรือชาวจีน ที่มีจุดร่วมสำคัญคือ หญิงไทยมีรูปร่างเล็ก แข็งแรง เพราะทำงานหนัก ไม่ได้มีบทบาทแค่ดูแลบ้านหรือทำงานบ้านอย่างเดียว ยังต้องทำงานเกษตร ทำไร่ ทำสวน และทำงานกลางแจ้ง เท่านั้น!

 

กล่าวคือ ในบันทึกดังกล่าวไม่ได้มีการบรรยายเชิงความงาม หรือ หน้าตาสวยงามแต่อย่างใด ตรงข้ามกับเวลาที่บันทึกของจีนพูดถึงสตรีจีนในยุคเดียวกัน ที่จะมีการบรรยายถึงความงดงามของท่วงท่าและหน้าตาประกอบด้วย 

เพราะหากมอง “มาตรฐานความงาม” ของผู้หญิงจีนในราชสำนัก จะพบว่าส่วนมากระบุถึงผู้หญิงต้องผิวขาว ไม่ถูกแดด ท่วงท่าอ่อนช้อย ไม่ทำงานกลางแจ้ง 

และในอีกมุมหนึ่ง ผู้หญิงไทยในสายตาของพ่อค้าและนักเดินเรือชาวจีนที่มาเห็นในช่วงเวลาดังกล่าวก็คงมองว่าแปลกพอตัว  เพราะผู้หญิงไทยกลับทน ถึง แข็งแรงและเป็นฟันเฟืองทางเศรษฐกิจที่สำคัญของชุมชน ในขณะที่ผู้หญิงจีนในยุคก่อนมีค่านิยมให้ทำงานบ้านงานเรือนเสียมากกว่า

 

ผู้หญิงไทย ‘ตัวเชื่อมวัฒนธรรมไทย-จีน'

 

ต่อมาเมื่อถึงช่วงเวลาของจีนอพยพ จดหมายคนจีนโพ้นทะเล ที่มาทำงานในสยามและส่งกลับไปหาครอบครัวที่บ้านเกิดในจีน บอกเล่าความเป็นอยู่ต่างๆ ไว้ 

 

ตรุษจีนอีกหนึ่งประเพณีที่สะท้อนการอยู่ร่วมของวัฒนธรรมจีนบนแผ่นดินไทย

 

การอพยพของชาวจีนในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นแทบจะเป็นผู้ชายเกือบทั้งหมด ผลคือในชุมชนคนจีนไม่ค่อยจะมีผู้หญิงจีน การแต่งงานข้ามวัฒนธรรมไทย-จีนจึงถือกำเนิดขึ้น  การแต่งงานมีผลทางอ้อมคือ ทำให้ชุมชนจีนยึดพื้นที่เศรษฐกิจและสังคมไทยได้ง่ายขึ้น  เพราะผู้หญิงไทยทำให้ชาวจีนปรับตัวเข้ากับพื้นเพของคนไทยได้อย่างแท้จริงด้วย 

 

ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงไทยที่แต่งงานกับชายจีนมีบทบาทสำคัญในการ ‘ปรับ’ และ ‘ผสมผสาน’ วัฒนธรรม โดยเฉพาะการนำประเพณีจีนมาปฏิบัติให้เข้ากับบริบทไทย เช่น การจัดงานเทศกาลตรุษจีน หรือการไหว้บรรพบุรุษ ซึ่งส่วนใหญ่พิธีกรรมเหล่านี้จะถูกดูแลและจัดเตรียมโดยภรรยาชาวไทย ทำให้วัฒนธรรมจีนยังคงอยู่แต่ก็มีความเป็น ‘ลูกผสม’ แบบไทย ๆ เข้ามาแทน

อีกทั้งเนื่องจากผู้หญิงไทยมีความคุ้นเคยกับระบบเศรษฐกิจและการค้าขายในท้องถิ่นอยู่แล้ว  เมื่อแต่งงานกับชายจีนซึ่งส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าหรือกุลีที่เพิ่งมาถึง พวกเธอจึงกลายเป็น คู่ค้าและผู้จัดการร้าน ที่ช่วยให้ธุรกิจของสามีชาวจีนสามารถขยายตัวและเข้าถึงเครือข่ายลูกค้าชาวไทยได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น หลายครอบครัวคนจีนที่ประสบความสำเร็จในสยาม ล้วนมีภรรยาชาวไทยที่เป็นผู้ช่วยคนสำคัญในการบริหารจัดการเงินและกิจการภายใน

ส่วนสำคัญคือผู้หญิงไทยทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดภาษาไทย และ ขนบธรรมเนียมไทย ให้แก่สามีและบุตรที่เกิดมา  ทำให้บุตรหลานสามารถเข้ากับสังคมไทยได้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่ต้องละทิ้งรากเหง้าความเป็นจีนไปทั้งหมด การแต่งงานข้ามวัฒนธรรมนี้จึงเป็นกลไกที่สร้าง ความกลมกลืนทางเชื้อชาติ และเป็นรากฐานสำคัญของกลุ่ม ‘คนไทยเชื้อสายจีน’ ในปัจจุบัน

 

 

ผู้หญิงไทย ‘การทูตลับไทย-จีน’

 

แม้จะไม่ใช่เหตุการณ์ที่สะท้อนภาพผู้หญิงไทยสำหรับคนจีนได้ทั้งหมด แต่มีหนึ่งเหตุการณ์สำคัญ ที่ผู้หญิงได้เข้ามามีบทบาทต่อการทูตระหว่างไทยและจีนในระดับการเมือง  โดยเฉพาะกรณีของ สิรินทร์ พัธโนทัย หรือชื่อเดิมคือ นวลนภา พันธโนทัย ที่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การเริ่มต้นความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนอย่างเป็นทางการ

 

เอกสารเกี่ยวกับชีวประวัติของโจว เอินไหล หลายฉบับที่พูดถึงการสร้างมิตรกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวถึงการมาอาศัยของ 2 พี่น้องตระกูลพัธโนทัยไว้หลายแห่ง 

 

อ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ที่ลงในหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2015 หรือ 10 ปีก่อน ที่ได้สัมภาษณ์ สิรินทร์ พัธโนทัย มีรายละเอียดสำคัญว่า

 

ไทยนั้นแม้จะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กรกฎาคม 1975 แต่อันที่จริงๆ ก่อนหน้าสัญญาฉบับดังกล่าว ได้มีการสานสัมพันธ์ลับทางการทูตระหว่างสองชาติมาแล้วกว่า 20 ปี ผ่านสองพี่น้องชาวไทยอย่าง วรรณไว พัธโนทัย และสิรินทร์ พัธโนทัย ที่ได้ถูกส่งตัวไปอยู่ภายใต้การดูแลในฐานะบุตรบุญธรรมของโจว เอินไหล (นายกรัฐมนตรีจีนขณะนั้น) ด้วยวัยเพียง 12 และ 8 ปี

 

โดยปรากฎว่าความสัมพันธ์ในระยะแรกต้องเป็นความสัมพันธ์ในระดับประชาชนกับปรชะชาชน เนื่องจากจีนเพิ่งสร้างตัวและไม่มีเพื่อน โจว เอินไหล พยายามที่จะสานสัมพันธ์กับนานาประเทศโดยใช้วิธีระหว่างประชาชน ซึ่งง่ายกว่าระดับรัฐบาลคุยกัน  แม้ระหว่างนั้นมีแต่คนต้องการ ‘ขจัดจีน’ แต่ สังข์ พัธโนทัย ได้ศึกษาความจริงและพบว่าอาจจะเข้าใจจีนผิดไป และประทับใจกับสิ่งที่นายกฯ โจวทำ นี่คือส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ของ สิรินทร์ พัธโนทัย

 

โดยเธอย้ำว่ายังไงประเทศไทยก็ต้องคบกับอเมริกาแน่นอนในขณะนั้น แต่มือหนึ่งต้องสัมพันธ์กับจีน

 

จนกระทั่งสังข์ตัดสินใจอยากให้ลูกไปอยู่เมืองจีน ศึกษาวัฒนธรรมจีน คล้ายๆ กับว่าเป็นของขวัญที่เชื่อมใจกันเอาไว้ ซึ่งกลายเป็นจุดสำคัญของความสัมพันธ์

 

ครอบครัวพัทธโนทัย

 

“เราก็โตมาด้วยความรัก การดูแลของผู้ใหญ่จีน ซึ่งมีมนุษยธรรมมาก ซึ่งเขาจะเอาเราเก็บไว้ทำไม ถ้าเราไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาแล้ว แต่ท่านกลับมารับเรา แล้วเอาเข้าสู่อ้อมอก แล้วก็ยังเปิดประตูวังให้เข้าไปอยู่ในหมู่... กลุ่มที่เป็นอำนาจสูงสุดของประเทศ แล้วกลุ่มอำนาจอันนี้ ไม่มีใครในโลกนี้ที่เข้าไปอยุ่ในนั้นที่เป็นชาวต่างประเทศ นี่ก็ต้องถือว่าเป็นขุมทรัพย์ของตระกูลพัธโนทัย ยิ่งแก่ลงยิ่งรู้สึก”

 

 

ผู้หญิงไทยในสื่อจีน - ละครแนวตั้ง

 

เปลี่ยนจากการบันทึกลงในพงศาวดาร หรือข้อเขียนของจดหมายจากคนจีนโพ้นทะเล หรือหนังสือลับทางการทูต ‘การบันทึก’ เรื่องราวของผู้หญิงไทยในสังคมจีน อยู่ในรูปแบบของ ‘สื่อใหม่’ ในเวลาต่อมา

 

หากจะกล่าวว่ายุคบุกเบิกของผู้หญิงไทยในสื่อจีน จะต้องกล่าวถึง กบ สุวนันท์ คงยิ่ง ละครของเธออย่างเรื่องดาวพระศุกร์ และน้ำเซาะทราย ถูกนำไปฉายที่จีนและได้รับความนิยมอย่างมากในยุคแรกๆ 

 

นางเอกไทยในสื่อหลักจีน ที่จุดกระแสติดจริงๆ และบอกได้ว่าเป็นที่นิยมมาก คือ ออม สุชาร์ มานะยิ่ง ออมสะท้อนภาพลักษณ์ที่น่ารักสดใส และเป็นธรรมชาติ และเป็นหนึ่งในนางเอกซีรีย์ที่สร้างชื่อให้ละครไทยในวงกว้างได้เป็นอย่างดี

 

ออม สุชาร์ กับการแสดงซีรีย์ในประเทศจีน

 

ต่อมาคือใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ ที่ดังเป็นพลุแตกจากภาพยนตร์เรื่องสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก ซึ่งเป็นภาพยนตร์รักวัยรุ่น แม้จะสะท้อนภาพของหญิงสาวที่สดใส ไร้เดียงสากับความรัก แต่เรื่องใบไม้ที่ปลิดปลิวซึ่งใบเฟิร์นพลิกคาแรกเตอร์ของเธออย่างสิ้นเชิง ก็ได้รับความสนใจจากชาวจีนอย่างท่วมทันเช่นกัน

 

และปัจจุบันก็คือ คู่จิ้น หลิง-ออม ซึ่งโด่งดังจากกระแสซีรีย์เกิร์ลเลิฟ หรือ หญิงรักหญิง ที่ได้รับความนิยมจาก ‘แม่จีน’ อย่างถล่มทลาย ด้วยว่าสื่อจีนไม่สามารถพูดในเรื่องของ หญิงรักหญิง ได้อย่างเปิดเผย การที่ประเทศไทยสามารถเล่าเรื่องราวนี้ได้ สะท้อนถึงการยอมรับถึงความหลากหลายของผู้หญิงไทย และแน่นอนว่าเมสเสจนี้ดังมากในสังคมชาวจีน ที่มองว่าหญิงไทยเปิดกว้างในเรื่องเพศและความเท่าเทียมกัน

 

......

 

และล่าสุด กับการเปิดตัว ‘ละครแนวตั้ง’ ที่เป็นพื้นที่สื่อยอดนิยมในขณะนี้ ด้วยมูลค่าตลาดของละครแนวตั้งในจีนเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าในช่วงเวลา 3 ปี คือ จาก 5 พันล้านหยวน เป็น 5 หมื่นหล้านหยวนในปี 2024 โดยมีฐานผู้ชมคือคนทำงานและนักศึกษาที่ต้องการเนื้อหาสั้นกระชับ

 

แม้จะไม่รู้ว่าคาแรกเตอร์ของหญิงไทยที่ย้อนกลับไปในยุคจีนโบราณจะเป็นอย่างไร แต่ส่วนหนึ่งคือ ‘ภาพลักษณ์ของหญิงไทย’ จะมีพื้นที่บนสื่อจีนขนาดใหญ่ดังกล่าว ก็ต้องรอลุ้นว่าภาพลักษณ์หญิงไทยในชุดห่มสไบ เมื่อย้อนกลับไปจีน จะเป็นอย่างไรในมุมของชาวจีนและบทที่ออกมา.

 

 

อ้างอิง

https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/658376

https://staff.washington.edu/qing/huan_ying-yai_sheng-lan%5B1%5D.pdf

http://khoon.msu.ac.th/_dir/fulltext/fulltextman/full4/Tang9407/titlepage.pdf

ข่าวล่าสุด

ชายแดนเดือด! หุ้นไทยดิ่งหนักกว่า 12 จุด ขีดเส้น 1,250 จุดห้ามหลุด