“Microshifting” เทรนด์ใหม่คนทำงาน แบ่งเวลางานเป็นบล็อกสั้น ๆ
หมดยุคทำงาน 8 ชั่วโมงรวด รู้จัก “Microshifting”เทรนด์การทำงานของคนรุ่นใหม่ ต้องการยืดหยุ่นชีวิต แบ่งเวลาทำงานออกเป็นบล็อกสั้น ๆ หลายช่วงในหนึ่งวัน
ในยุคที่เส้นแบ่งระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานเริ่มเลือนราง “Microshifting” กลายเป็นคำใหม่ที่ถูกพูดถึงในโลกการทำงาน ว่าอาจเป็นเทรนด์ใหญ่ถัดไป ที่เข้ามาแทนที่โมเดลการทำงานแบบเดิมหรือแทนที่จะทำงาน 8 ชั่วโมงรวด หรือแม้แต่รูปแบบ Work from Home , Hybrid ที่หลายองค์กรเคยใช้
Microshifting คืออะไร?
มันคือการ "จัดตารางงานให้เข้ากับชีวิต" ไม่ใช่ "จัดชีวิตให้เข้ากับเวลางาน"
Microshifting หมายถึงรูปแบบการทำงานที่ แบ่งเวลาทำงานออกเป็นบล็อกสั้น ๆ หลายช่วงในหนึ่งวัน โดยพนักงานสามารถจัดสรรเวลาเองตามช่วงที่มีสมาธิหรือความพร้อมมากที่สุด เช่น ทำงานตอนเช้า 2 ชั่วโมง พักไปทำธุระส่วนตัว หรือดูแลครอบครัว แล้วกลับมาทำงานต่อในช่วงบ่ายหรือค่ำ
ต่างจากการลดชั่วโมงทำงาน เทรนด์นี้เน้น “ยืดหยุ่นเวลา” มากกว่าการ “ลดเวลา” โดยเชื่อว่าจะช่วยให้พนักงานมีสมาธิและประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันก็สามารถรักษาสมดุลชีวิตและงานได้ดีกว่าเดิม
เช่น
- 7:00-9:00: ล็อกอินเคลียร์งานสำคัญตอนสมองปลอดโปร่ง
- 9:00-11:00: พักเบรกไปส่งลูกที่โรงเรียน หรือไปออกกำลังกาย
- 13:00-16:00: กลับมาโฟกัสกับโปรเจกต์ในช่วงบ่าย
- 21:00 เป็นต้นไป: ล็อกอินอีกครั้งหลังลูกหลับ เพื่อทำงานที่ต้องใช้สมาธิให้เสร็จ
ทำไม 'Microshifting' ถึงกลายเป็นคำตอบของคนรุ่นใหม่?
JOBBKK.COM รายงานผลสำรวจชี้ว่า พนักงาน ยอมลดเงินเดือนถึง 9% เพื่อแลกกับความยืดหยุ่นนี้ เพราะมันช่วยแก้ปัญหาใหญ่ของคนยุคปัจจุบัน
- ภาระที่มองไม่เห็น: ตอบโจทย์ชีวิตพ่อแม่ยุคใหม่ที่ต้องดูแลลูก (The Second Shift)
- ชีวิตไม่ได้มีแค่งานเดียว: รองรับการทำงานหลายอย่าง (Poly-Employment) หรือการทำอาชีพเสริม
-
สู้กับภาวะพังเงียบ (Quiet Cracking): ช่วยให้พนักงานได้พักเบรกเมื่อรู้สึกหมดไฟ ก่อนที่มันจะสายเกินไป
Times of India รายงานว่า ปัจจุบันบริษัทจำนวนมากในสหรัฐฯ และยุโรปเริ่มทดลองนำโมเดล Microshifting มาใช้กับพนักงานบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีภาระดูแลครอบครัว หรือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการอิสระในการจัดตารางชีวิต ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากรายงานของ Owl Labs ที่พบว่า พนักงานกว่า 65% ต้องการความยืดหยุ่นในตารางเวลามากขึ้น
ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของโมเดลนี้คือ "ความไว้วางใจ" ผู้นำยุคใหม่ต้องเปลี่ยนจากการบริหาร "เวลา" (Time Management) มาเป็นการบริหาร "ผลลัพธ์" (Outcome Management) และใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุน ไม่ใช่เพื่อสอดส่อง
อย่างไรก็ตาม เทรนด์นี้ยังมีข้อท้าทาย โดยเฉพาะในด้านการประสานงานของทีม การจัดการเวลาให้เหมาะสม และการปรับวัฒนธรรมองค์กรจากการวัดผลตาม “เวลา” มาสู่ “ผลงาน” ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจและความยืดหยุ่นจากทั้งผู้บริหารและพนักงาน
ข้อมูลอ้างอิง: JOBBKK.COM, Times of India, NewsMobile, The Money Times


