posttoday

เรื่องของ ‘ส้วม’ จากกำเนิดยุคเมโสโปเตเมีย สู่วันที่ ‘ส้วมวิเคราะห์สุขภาพ’ ได้!

09 สิงหาคม 2568

เรื่องราวการเดินทางของ ‘ส้วม’ จากกำเนิดในยุคเมโสโปเตเมีย สู่วันที่ ‘ส้วม' อัจฉริยะจนสามารถบอกปัญหาสุขภาพได้!

ไม่คิดไม่ฝันว่าวันหนึ่งจะต้องเขียนเรื่อง ‘ส้วม’

 

แต่ข่าวหนึ่งซึ่งกลายเป็นที่สนใจของสื่อหลายสำนักในต่างประเทศในช่วงเดือนที่ผ่านมา เมื่อปัจจุบันได้เกิด 'โถชักโครก' ที่สามารถตรวจสุขภาพได้แค่นั่งถ่าย! และไม่ใช่ที่เดียวที่พัฒนาด้านนี้  ก็ทำให้อยากรู้ว่าการเดินทางของ ‘ส้วม’ เกิดขึ้นได้อย่างไร? ถึงมาไกลเพียงนี้ได้

 

 

จุดกำเนิดของส้วมย้อนไปอีกหลายพันปี!

 

ย้อนไปในสมัยเริ่มแรกของส้วม ปรากฎหลักฐานในยุคเมโสโปเตเมีย ราว 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช พบว่า ชาวสุเมเรียน หรือ ชนกลุ่มแรกๆ ที่สร้างอารยธรรมเมืองขึ้นมาอย่างจริงจังบนโลกใบนี้ มีการจัดการด้านสุขาภิบาลขึ้น  โดยปรากฎหลักฐานทางโบราณคดีเป็น ’หลุมส้วม’

 

นักโบราณคดีคาดเดาความคิดของชาวสุเมเรียนว่า สาเหตุน่าจะเกิดจากการที่เมืองเริ่มหนาแน่น นครอย่างอูรุก (Uruk) มีประชากรหลายหมื่นคน ซึ่งถือว่าใหญ่โตมากในยุคนั้น ก็กลายเป็นว่าบ้านแต่ละหลังอยู่ชิดกันมาก ถนนกว้างแค่ 1- 2 เมตรเท่านั้น จึงไม่มีพื้นที่ว่างให้ทิ้งของเสียได้เลย

 

ตามปกติพวกเขาก็จะถ่ายในหลุมกล้างแจ้งหรือทิ้งใกล้บ้าน ซึ่งอ่านถึงตรงนี้ก็พอจะจินตนาการได้ถึงปัญหากลิ่นและแมลงที่ตามมา  นอกจากนี้เมืองยังตั้งอยู่ริมแม่น้ำไทกริสและยูเฟรตีส ทำให้ของเสียปะปนไหลลงไปยังแม่น้ำจนทำให้เกิดโรคต่างๆ

 

ชาวสุเมเรียนจึงเริ่มพัฒนาหลุมส้วมที่วางก้นหลุมด้วยเศษดินเผา เพื่อที่จะนำของเสียออกจากบริเวณบ้าน และแยกให้ไกลจากแหล่งน้ำขึ้นมา

 

ภาพจำลองส้วมในยุคเมโสโปเตเมีย

 

ถัดมาอีกหลายร้อยปีอารยธรรมเกี่ยวกับส้วมในพื้นที่ต่างๆ ก็พัฒนาขึ้น  อย่างเช่น ในช่วงของอาณาจักรโรมัน ได้มีการสร้าง ‘ส้วมรวม’ ที่มีน้ำไหลล้างผ่าน แล้วใช้ฟองน้ำชุดน้ำแทนใช้กระดาษเช็ด  ส่วนชาวอียิปต์ใช้กระโถนและเทของเสียลงแม่น้ำไนล์

 

ภาพจำลอง ส้วมรวม ในยุคโรมันโบราณ

 

ยุคมืดของ ‘ส้วม’ สู่กาฬโรค

 

การพัฒนาของ ‘ส้วม’ เข้าสู่ยุคมืดในช่วงยุคกลางของยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 5-15 หลายเมืองใช้โถปัสสาวะและโยนของเสียออกจากหน้าต่าง ส่งกลิ่นและโรคระบาดแพร่กระจายอย่างรุนแรงเพราะขาดระบบระบายน้ำที่ดี แม้ว่าในยุคโรมันนั้นจะมีระบบระบายน้ำและห้องน้ำสาธารณะที่ทันสมัยก็ตาม

 

ของเสียเหล่านั้นกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง แมลงและหนู ที่เป็นพาหะของโรค จนกลายเป็นโรคระบาดใหญ่ อย่าง 'กาฬโรค' นั่นเอง  แม้ว่าจะไม่ใช่สาเหตุหลัก แต่สภาพแวดล้อมที่มีขยะและของเสียเกลื่อนตามถนนและคลองระบายน้ำ เป็นที่อยู่อาศัยชั้นดีของหนู และทำให้หนูเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมหาศาล

 

จนระหว่างปี 1347-1351 กาฬโรคก็ได้คร่าชีวิตประชากรยุโรปไปราวหนึ่งในสาม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโรคระบาดครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเลยทีเดียว!

 

ยุคกาฬโรคระบาดในยุโรป

 

สู่ยุค ‘ส้วม’ ที่เราคุ้นเคย

 

ถ้าจะถามว่าแล้ว ‘ส้วม’ ที่คนไทยคุ้นเคยในปัจจุบันนั้นเริ่มต้นพัฒนาขึ้นตอนไหน? 

ก็ต้องขอบคุณเซอร์จอห์น แฮร์ริงตัน ชาวอังกฤษ ที่เป็นคนแรกที่ออกแบบส้วมชักโครกให้กับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ในปี ค.ศ. 1596 หรือส้วมที่สามารถชักน้ำลงมาชะล้างได้ แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวกลับยังไม่แพร่หลายนัก

จนกระทั่งร้อยกว่าปีถัดมา การจดสิทธิบัตรส้วมชักโครกที่เพิ่มระบบดักกลิ่นด้วยท่อโค้งรูปตัวเอส ก็เกิดขึ้นด้วยฝีมือของอเล็กซานเดอร์ คัมมิง วิศวกรชาวสกอตแลนด์

 

ส้วมแบบชักโครกของ อเล็กซานเดอร์ คัมมิง

 

ตัวชักโครกของอเล็กซานเดอร์ไม่ได้ ‘ว้าว’ มากนัก แต่ท่อรูปตัวเอสต่างหากที่สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลให้แก่โลกใบนี้

 

เพราะท่อโค้งรูปตัวเอส ที่เรียกว่า S-trap ได้วางรากฐานให้แก่ระบบส้วมยุคใหม่ เพราะช่วยลดการแพร่กระจายของกลิ่นและเชื้อโรคที่มากับระบบระบายน้ำทิ้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

ญี่ปุ่น ประเทศแห่งการพัฒนา ‘ส้วมยุคใหม่' และ 'Wellness Toilet'

 

หากใครเคยเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น หรือได้สัมผัสกับชักโครกของญี่ปุ่นมาบ้าง ก็ต้องทึ่งกับความสะดวกสบายที่ถูกจัดสรร ประเทศญี่ปุ่นในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เป็นผู้ริเริ่มการออกแบบส้วมไฟฟ้าและส้วมอัตโนมัติ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน  ด้วยระบบชำระล้างหลายแบบให้เลือกสรร ทิศทางที่ปรับได้ บางที่มีเพลงให้ฟังกันเขินอาย~

และล่าสุด ญี่ปุ่น ก็ไม่ทำให้เสียชื่อ ประเทศแห่งการพัฒนาส้วมอัจฉริยะ เพราะบริษัทอย่าง TOTO ได้พัฒนา Toilet Lab ซึ่งนิยามตัวเองว่าเป็น 'Wellness Toilet' เป็นส้วมที่สามารถเก็บตัวอย่างปัสสาวะและอุจจาระเพื่อตรวจค่าน้ำตาล ความเสี่ยงเบาหวาน หรือการติดเชื้อ ได้แล้ว

 

เรื่องของ ‘ส้วม’ จากกำเนิดยุคเมโสโปเตเมีย สู่วันที่ ‘ส้วมวิเคราะห์สุขภาพ’ ได้!

 

สำหรับส้วมแบบใหม่สับนี้ จะมีฟีเจอร์สแกนอุจจาระเพื่อวิเคราะห์สุขภาพผู้ใช้งาน โดยเจาะลักษณะทางกายภาพ เช่น รูปทรง สี และปริมาณ พร้อมให้คำแนะนำด้านโภชนาการและการออกกำลังกายผ่านแอปในโทรศัพท์มือถือ เรียกว่าถ่ายเสร็จ รู้ทันทีว่าใช้ชีวิตอย่างไร!

 

โดยเทคโนโลยีที่ใช้จะเป็นการใช้การสะท้อนของแสงเมื่ออุจจาระตกลงในโถส้วม และจัดหมวดหมู่ลักษณะของการขับถ่ายออกเป็น 7 ชนิด  และยังมีเซ็นเซอร์อื่นๆ เพื่อตรวจวัดและวิเคราะห์ตัวอย่างอุจจาระและปัสสาวะด้วย

 

มาถึงขั้นนี้แล้ว!  หลายคนก็อาจจะคิดในใจว่าต้องจริงจังขั้นนี้เลยหรือไม่?  แต่ไม่ใช่แค่ที่ญี่ปุ่นที่เดียวเพราะที่อเมริกาก็มี โดยบริษัท Toi Labs ผู้พัฒนา TrueLoo เป็นบริษัทจากซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ซึ่งก็ได้ทำงานพัฒนาร่วมกันกับ TOTO ด้วยได้พัฒนาเทคโนโลยีการสแกนด้วยแสงของตนเองให้ติดตั้งอยู่ใต้ฝาชักโครกเช่นกัน 

 

เรื่องของ ‘ส้วม’ จากกำเนิดยุคเมโสโปเตเมีย สู่วันที่ ‘ส้วมวิเคราะห์สุขภาพ’ ได้!

 

โดยจะมีการบันทึกภาพอุจจาระและปัสสาวะอย่างต่อเนื่อง และใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจหาความผิดปกติหรือการเปลี่ยนแปลงที่อาจบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพได้ เช่น ภาวะขาดน้ำ ปัญหาทางเดินอาหาร หรือสัญญาณของโรคเรื้อรัง

 

และที่สำคัญคือ TrueLoo ได้มีผู้ใช้งานในวงกว้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยปัจจุบันได้ถูกนำมาใช้ในสถานดูแลผู้สูงอายุมากกว่า 300  แห่ง เพือสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เพื่อส่งข้อมูลและแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ไปยังบุคลากรทางการแพทย์ได้อย่างทันท่วงที!

.

.

แหม่ ~ เขียนมาถึงตรงนี้ก็ต้องยอมรับว่า ‘มนุษยชาติ’ มาไกล ถึงขั้นที่ว่านั่งส้วม ก็รู้ว่าร่างกายป่วยหรือไม่กันแล้ว

ข่าวล่าสุด

หลีกหนีความวุ่นวาย ฉลองปีใหม่สุดหรูบนเกาะส่วนตัวที่ นาคา ไอแลนด์