เปิดแผนที่ 'ปราสาทขอม' ท่ามกลางเรื่องร้อน ชายแดนไทย-กัมพูชา
โพสต์ทูเดย์ พาเปิดแผนที่ 'ปราสาทศิลปะขอมโบราณ' ที่ตั้งอยู่ริมชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าแต่ละแห่งมีหน้าตาและที่มาอย่างไร
ปราสาทหินโบราณที่กระจายตัวตามแนวชายแดนเขตไทย–กัมพูชา ซึ่งกำลังมีกรณีพิพาทและเป็นตัวจุดชนวนครั้งแล้วครั้งเล่า ของการ 'กระทบกระทั่ง' ไม่หยุดหย่อนนั้น ไม่ได้เป็นเพียงศาสนสถานในอดีต แต่ยังเป็นหลักฐานสำคัญของเครือข่ายคมนาคม ศาสนา และอำนาจของอาณาจักรขอมโบราณ (Khmer Empire) ซึ่งรุ่งเรืองตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 9 จนถึงศตวรรษที่ 15
หัวใจของอาณาจักรขอมในอดีตอยู่ที่เมืองพระนคร บริเวณจังหวัดเสียมราฐของกัมพูชาในปัจจุบัน ซึ่งในศตวรรษที่ 10–13 ขยายอิทธิพลครอบคลุมพื้นที่กว้างไกลจรดลุ่มน้ำมูล พิมาย ไปจนถึงชายแดนไทย-กัมพูชา การสร้างปราสาทตามแนวตะวันตกเฉียงเหนือสู่ตะวันออกเฉียงใต้ไม่ใช่เพียงเพื่อแสดงพลังอำนาจเท่านั้น หากยังทำหน้าที่ควบคุม 'เส้นทางคาราวาน' และ 'เส้นทางศักดิ์สิทธิ์' ที่ข้ามพนมดงรัก สะท้อนความเชื่อมโยงระหว่างอำนาจทางโลกและทางศาสนาอย่างลึกซึ้ง
ปราสาทบางแห่งจึงมีบทบาทเป็นทั้งศาสนสถานหลักประจำภูมิภาค และที่พักแรมสำหรับผู้แสวงบุญหรือข้าราชสำนักที่เดินทางไปยังปราสาทพระวิหาร ปัจจุบันร่องรอยเหล่านี้ยังปรากฏให้เห็น ทั้งในลักษณะสถาปัตยกรรม ทับหลังจารึก และโครงสร้างเส้นทางโบราณที่ซ้อนทับกับทางเดินปัจจุบัน
ศิลปะและสถาปัตยกรรมของปราสาทเหล่านี้จึง แสดงถึงความเชื่อในศาสนาฮินดูและพุทธนิกายมหายาน รวมถึงอิทธิพลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้มีบทบาทสำคัญในการขยายอาณาจักรและสร้างสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์ ปราสาทริมชายแดนจึงไม่ได้เป็นแค่สถานที่สักการะเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือทางการเมืองและวัฒนธรรมที่แสดงอำนาจและความรุ่งเรืองของอาณาจักรขอมในอดีต
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19-20 การเข้ามาของมหาอำนาจยุโรปในพื้นที่ส่งผลให้เกิดการแบ่งเขตดินแดนอย่างเป็นทางการ ทำให้ปราสาทในบริเวณดังกล่าวกลายเป็นโบราณสถานของประเทศนั้นๆ และบางแห่งก็ตกอยู่ท่ามกลางข้อพิพาทมาอย่างยาวนาน ซึ่ง โพสต์ทูเดย์ จะชวนทุกคนมาทำความรู้จักกัน
ปราสาทตาเมือน
หนึ่งในกลุ่มปราสาทที่โดดเด่นที่สุด ตั้งอยู่บนสันเขาพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ปราสาทมีทั้งหมดสามหลัง ได้แก่ ตาเมือน ตาเมือนโต๊จ และตาเมือนธม
ปราสาทตาเมือนธมถือเป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม สร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-17 ตรงกับสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 แห่งอาณาจักรขอม สถาปัตยกรรมแบบบาปวนตอนปลาย โดดเด่นด้วยศิวลึงค์ที่ผุดขึ้นจากหินธรรมชาติกลางปรางค์ประธาน แสดงถึงความเชื่อในพลังศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่
ด้านตาเมือนโต๊จขนาดเล็กกว่า ลักษณะคล้ายอโรคยาศาล หรือโรงพยาบาลโบราณในยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ขณะที่ปราสาทตาเมือนมีลักษณะเป็นศาลาพักริมทางโบราณ ซึ่งเส้นทางนี้เชื่อว่าเชื่อมระหว่างเมืองพระนครในกัมพูชา กับลุ่มน้ำมูลและพิมายในไทย
ปัจจุบัน พื้นที่ปราสาทตาเมือนสามารถเดินทางถึงได้โดยทางรถยนต์จากอำเภอพนมดงรัก มีการดูแลรักษาโดยกรมศิลปากรไทย แม้บางช่วงของปีอาจต้องประสานการเดินทางเนื่องจากใกล้พื้นที่ชายแดนก็ตาม
นอกจากนี้ ทางตะวันออกของกลุ่มตาเมือนในจังหวัดศรีสะเกษ มี 'ปราสาทตาควาย' ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่ารอยต่อใกล้ชายแดน ปราสาทนี้มีขนาดเล็กแต่มีความโดดเด่นตรงที่มีศิวลึงค์ขนาดใหญ่ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมภายในปรางค์ประธาน บ่งบอกถึงการใช้งานทางศาสนาแบบศิวะนิกาย สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16 แม้จะอยู่ในสภาพชำรุดบางส่วน แต่ลวดลายทับหลังโดยเฉพาะภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณยังหลงเหลือให้เห็นอย่างงดงาม
ปัจจุบันสามารถเข้าถึงได้โดยรถยนต์ แต่ต้องเดินเท้าระยะสั้นผ่านป่าเขา ความเงียบสงบและความเป็นธรรมชาติของพื้นที่ยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ต้องการเที่ยวแบบสำรวจ
ปราสาทสด๊กก๊อกธม
ในจังหวัดสระแก้ว มีปราสาทสด๊กก๊อกธม เป็นปราสาทหินขนาดใหญ่ที่สุดในพื้นที่ชายแดนด้านตะวันตก สร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15-16 ด้วยศิลาแลงและหินทราย ล้อมรอบด้วยคูน้ำและกำแพง มีลักษณะเป็นศาสนสถานในศิวะนิกาย จุดเด่นที่สุดคือจารึกสด๊กก๊อกธม ซึ่งพบเมื่อ พ.ศ. 2458 บันทึกเหตุการณ์ในรัชกาลพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 และระบุถึงพราหมณ์ชื่อศิวะการะผู้สถาปนาเทวสถานนี้ พร้อมบอกข้อมูลเรื่องเส้นทางคมนาคมที่ตัดผ่านบริเวณนี้ ถือเป็นจารึกสำคัญที่สุดของเขมรในฝั่งไทยและหลักฐานการปกครองในยุคต้นอย่างชัดเจน
ปัจจุบันปราสาทอยู่ในเขตอำเภอโคกสูง เปิดให้เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย มีการดูแลโดยกรมศิลปากรและชุมชนท้องถิ่น
ปราสาทเขาพระวิหาร
หนึ่งในสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างไทยและกัมพูชา คือ ปราสาทเขาพระวิหาร ตั้งอยู่บนหน้าผาในแนวเทือกเขาพนมดงรัก ด้านทิศใต้ของจังหวัดศรีสะเกษ ตัวปราสาทสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 และมีการเพิ่มเติมในยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบบาปวน-นครวัด โดยตัวปราสาทวางเรียงตามแนวแกนเหนือ-ใต้ ขึ้นสู่ศาลเจ้าหลักบนยอดหน้าผา ด้วยความโดดเด่นทั้งทางศิลปกรรมและภูมิประเทศ ทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกในปี พ.ศ. 2551
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์พื้นที่ชายแดนที่เปราะบาง ทำให้การท่องเที่ยวด้านฝั่งไทยบริเวณใกล้เคียงถูกจำกัด และยังไม่สามารถขึ้นไปถึงตัวปราสาทจากฝั่งไทยได้ในปัจจุบัน ต้องติดตามประกาศจากฝ่ายทหารและกรมอุทยานแห่งชาติอย่างใกล้ชิด
ปราสาทบ้านไพล
แถมให้อีกหนึ่งปราสาทเล็กๆ ในระดับชุมชน ปราสาทบ้านไพล จังหวัดสุรินทร์ เป็นอีกหนึ่งแหล่งโบราณคดีที่แสดงให้เห็นถึงการแพร่ขยายของวัฒนธรรมขอมในระดับท้องถิ่น แม้มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับศาสนสถานอื่น ๆ แต่ลวดลายแกะสลักบริเวณทับหลังและกรอบประตูยังอยู่ในสภาพดี บ่งบอกถึงความละเอียดของช่างฝีมือในท้องถิ่น สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-17 ในยุคที่อิทธิพลขอมแผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่ภาคอีสานตอนล่าง ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของกรมศิลปากรและเปิดให้เข้าชมได้


