posttoday

เมทเธียร์ บริษัทเทคไทยที่ยืนยันว่า AI ที่ดีต้องมาจากพื้นฐานบริบทไทยๆ

25 พฤษภาคม 2568

สัมภาษณ์พิเศษ อาร์ท-ขยล ตันติชาติวัฒน์ แห่งบริษัท เมทเธียร์ จำกัด บริษัทเทคไทยที่ปฏิวัติวงการธุรกิจ Facility Management (FM) ในไทยสู่การเป็น Smart FM ที่ยืนยันว่า AI ที่ดีต้องมาจากพื้นฐานบริบทไทยๆ

KEY

POINTS

  • กลยุทธ์เมทเธียร์ทรานสฟอร์มธุรกิจ Facility Management สู่ Smart FM
  • สร้างระบบความปลอดภัยอัจฉริยะในมหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทย
  • ความสำเร็จของการใช้เทคโนโลยี AI คือการใช้ข้อมูลที่มาจากบริบทคนไทยอย่างแท้จริง

ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ‘ความยั่งยืน’  กลายเป็นทิศทางสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ในภาวะเศรษฐกิจที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ และสังคมที่จำนวน ‘แรงงาน’ ถดถอย

 

‘ เทคโนโลยี’ โดยเฉพาะ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อย่าง AI ได้กลายเป็น ‘เครื่องมือ’ สำคัญที่หลายธุรกิจนำมาใช้เพื่อการปรับตัว และแน่นอนว่าเพื่อ ‘เติบโต’

 

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ‘เมทเธียร์’ บริษัทชั้นนำด้านธุรกิจ Facility Management (FM) ซึ่งมีบทบาทในการบริหารจัดการอาคาร สำนักงาน หรือโรงงานอุตสาหกรรม  ได้ตัดสินใจลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนแนวทางการให้บริการ FM อย่างชัดเจน โดยเรียกว่าเป็น Smart Facility Management (Smart FM) หรือ ที่เรียกว่าการบริหารจัดการระบบอาคารอัจฉริยะ ที่ใช้เวลากว่า 2 ปีในการเซ็ตระบบด้วยฝีมือ ‘คนไทย’ ทั้งหมด ก่อนจะคิกออฟอย่างเป็นทางการในปีนี้

 

โพสต์ทูเดย์ จึงขอสัมภาษณ์พิเศษ คุณอาร์ท-ขยล ตันติชาติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมทเธียร์ จำกัด  หัวเรือใหญ่ของการยกระดับธุรกิจ Facility Management (FM) สู่การเป็น ‘Smart’ FM ที่นำเทคโนโลยี AI ซึ่งพัฒนาขึ้นเองเข้ามาจัดการและปิดรอยรั่วธุรกิจอย่างครอบคลุมทุกฟังก์ชั่น

 

คุณอาร์ท-ขยล ตันติชาติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมทเธียร์ จำกัด

 

‘อัจฉริยะ’ ที่ให้ประโยชน์ต่อ ‘ค่าใช้จ่าย ประสิทธิภาพ และความปลอดภัย’

เมทเธียร์เดินหน้าขยายบริการจากเดิมที่เน้นแม่บ้านและ รปภ. โดยนำหุ่นยนต์ และระบบ AI CCTV เข้ามาช่วยงาน เสริมด้วยบริการ ‘ช่างอาคาร’  ที่หลายองค์กรเรียกร้อง เพื่อปิดช่องว่างการให้บริการแบบครบวงจร รวมถึงเพิ่มฟังก์ชัน การดูแลภูมิทัศน์ (landscape) และล่าสุดคือบริการ ‘Professional Cleaning Service แบบ one-time’  เช่น งานโรยตัวทำความสะอาดกระจกสูง ซึ่งต้องการมาตรฐานด้านความปลอดภัยและการฝึกอบรมเฉพาะทาง

 

“ ทุกส่วนที่เราให้บริการจะมีเทคโนโลยีเข้าไปร่วมด้วยเสมอ” คุณอาร์ทระบุ

 

แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุด นอกเหนือไปจากการนำหุ่นยนต์มาช่วยทำความสะอาดของแม่บ้าน หรือ การใช้กล้อง CCTV อัจฉริยะ ฯลฯ ในการทรานสฟอร์มจากระบบเก่า สู่ยุค ‘สมาร์ท’ ของเมทเธียร์ คือ การนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยประมวลข้อมูล และนำข้อมูลเหล่านั้นมาเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งในเรื่องของความปลอดภัย ความรวดเร็วและแม่นยำขึ้น รวมไปถึงการลดค่าใช้จ่ายและลดพลังงานที่จะใช้ลง

 

ตัวอย่างที่สำคัญคือการใช้ Digital Report หรือ ระบบการติดตามผลการทำงานของพนักงาน แทนที่จะเป็นการรีพอร์ตแบบเดิมๆให้แก่ลูกค้า

 

คุณอาร์ทยกตัวอย่างว่า ก่อนหน้าที่จะมีเทคโนโลยีเข้ามา ผู้ว่าจ้างไม่รู้เลยว่าระยะเวลาในการทำงานของคนๆ หนึ่งในการทำความสะอาดใช้เวลาเท่าไหร่ แต่ระบบ Digital Report จะช่วยให้มีการให้บันทึกและประเมินพื้นที่อย่างละเอียด ลงลึกแม้กระทั่งพื้นผิว หรือ ลักษณะของงาน เช่น งานโรงพยาบาลจะต้องการความสะอาดที่มากกว่าปกติ สิ่งเหล่านี้จะถูกบันทึกและคำนวนผลออกมาว่างานแต่ละแห่งต้องใช้ ‘เวลาทำงาน’ จริงๆ เท่าไหร่

 

เราสามารถประเมินได้ว่าพื้นที่ขนาดนี้ ต้องใช้เวลาทำความสะอาดเท่าไหร่ ครึ่งชั่วโมง หรือ หนึ่งชั่วโมง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการ ลดรายจ่าย เพราะการทำงานที่เร็วขึ้นภายใต้ประสิทธิภาพที่ไม่ลดลง นอกจากลูกค้าจะพอใจเพราะได้ใช้งานพื้นที่เร็วขึ้น ถ้าหากเป็นโรงงานอุตสาหกรรมก็จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้เร็วขึ้นด้วย

 

 

ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะในมหาวิทยาลัยแห่งแรกในไทย

ล่าสุด เมทเธียร์ได้มีการจับมือกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นต้นแบบระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะในมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ ซึ่งมีการนำกล้องวงจรปิดอัจฉริยะที่ทำงานร่วมกับระบบ AI Facial Detection เพื่อสามารถแยกแยะบุคคลที่เดินผ่านเข้าออกสถานศึกษา โดยไม่ต้องพึ่งพาเจ้าหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง

โดยระบบจะสามารถตรวจจับผู้ที่ไม่ใช่นักศึกษาหรือไม่มีสิทธิ์เข้าใช้พื้นที่ เช่น อาคารเรียนที่เป็นโซนปิด ระบบจะสามารถแจ้งเตือนให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบทราบทันที หรือในกรณีที่เคยมีเหตุโจรกรรมเกิดขึ้นมาก่อน ระบบจะสามารถตรวจจับใบหน้าและเปรียบเทียบกับฐานข้อมูล Blacklist เพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำซ้อน

อีกทั้งยังสามารถตั้งค่าตามช่วงเวลา เช่น หลังเวลา 18.00 น. หากมีบุคคลภายนอกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต กล้องจะสั่ง Alert โดยอัตโนมัติ ไปยังห้องควบคุมหรือแม้แต่ศูนย์ดูแลจากระยะไกลของเมทเธียร์เอง ซึ่งสามารถดำเนินการต่อได้ทันที

 

เมทเธียร์ บริษัทเทคไทยที่ยืนยันว่า AI ที่ดีต้องมาจากพื้นฐานบริบทไทยๆ

 

ความท้าทายสำคัญ ‘คน’ และการทำให้ลูกค้าเข้าใจว่าเทคโนโลยีคือ ‘คำตอบ’

แม้ว่าระบบจัดการแบบอัจฉริยะเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทายโดยเฉพาะด้าน ‘แรงงาน’ และ ‘ต้นทุนเทคโนโลยี’

 

“ คนคือหัวใจสําคัญ เรามีโอกาสมากที่จะขยายงาน ถ้าเราหาคนได้มากกว่านี้ แต่ก็ต้องย้อนกลับไปที่กฎหมายก่อน”

 

ความเคร่งครัดของกฎหมายโดยเฉพาะอาชีพ รปภ. ซึ่งเป็นพนักงานส่วนที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของระบบจัดการแบบ Smart FM ในประเทศไทยต้องไม่มีประวัติอาชญากร

 

“ หมายความว่าแค่เมาแล้วขับมอเตอร์ไซค์ ตำรวจจับก็มีประวัติแล้ว ซึ่งก่อนที่จะเข้ามาทำงานเราได้มีการตรวจประวัติเหล่านี้ทั้งหมด และเรียกได้ว่าร้อยละ 30-40 ไม่ผ่านตรงจุดนี้”  คุณอาร์ทเล่าให้ฟังถึงความเคร่งครัดของการรับสมัคร

 

อย่างไรก็ตามเมทเธียร์แก้ปัญหาด้วยการลงทุนกับ ‘คน’ ตั้งแต่วันแรกของการสมัครงาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพนักงาน และทำให้บริษัทสามารถจัดสรรแรงงานล่วงหน้าได้เมื่อมีโปรเจ็กต์ใหม่ๆ เข้ามา

 

“ ลูกค้าให้เวลาเราแค่หนึ่งเดือน เราสามารถขึ้นงานได้ 100% เพราะเราคัดคนไว้ล่วงหน้าแล้ว”

 

วิธีการของเมทเธียร์คือการตั้งศูนย์ฝึกอบรมในหลายภูมิภาคทั่วประเทศไทย รวมถึงการจัดหาที่พักและอาหารสำหรับพนักงานในช่วงเวลาที่ต้องฝึก แม้ยังไม่ได้รับค่าจ้างในช่วงฝึกอบรม แต่บริษัทจะช่วยในเรื่องค่าใช้จ่ายดังกล่าว

ในอีกมิติหนึ่ง คุณอาร์ทมองว่าการที่ธุรกิจเมทเธียร์ยกระดับให้เป็น ‘SMART FM’ นี้ เป็นคำตอบที่จะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดการพึ่งพาแรงงานที่หาได้ยากขึ้นทุกวัน แม้ว่าการ ‘โน้มน้าว’ ให้ลูกค้าลงทุนในครั้งแรกจะเป็นเรื่องยาก แต่จาก ‘เคสจริง’ ที่มีประสบการณ์ผ่านมาซึ่งสามารถตรวจจับก่อนเกิดการสูญเสีย โดยใช้ ‘รูปแบบพฤติกรรมที่เก็บข้อมูลไว้ว่าผิดปกติ’  มาเป็นฐานข้อมูลในการตัดสินใจ

 

“ เคสหนึ่งมีคนกำลังปีนรั้วเข้ามาในหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งเราสามารถตรวจจับได้ ระบบแจ้งเตือนทันที รปภ.จึงเข้าไปถึงตัวคนที่กำลังปีนรั้วเข้ามาได้ไวมาก  โดยที่ยังไม่มีการขโมยเกิดขึ้น  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่บริษัทต่างๆ หรือเจ้าของโครงการไม่อยากให้เกิด อยากให้มีระบบที่สามารถทำนายพฤติกรรมได้ก่อน เพื่อป้องกันการสูญเสีย”

 

คุณอาร์ทกล่าวว่า เมื่อเห็น ‘เคสจริง’ เช่นนี้แล้ว ลูกค้าจึงสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

 

“ เรายังพัฒนาซอฟต์แวร์เมทเธียร์ของเราขึ้นมาเอง ซึ่งสามารถเชื่อมกับระบบเดิมของลูกค้าได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนกล้องวงจรปิด หรือระบบใหม่ทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถเชื่อมกับระบบอื่นๆ เช่น ไฟ แอร์ หรืออุปกรณ์เซ็นเซอร์ต่างๆ อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเล็กน้อย แต่ในระยาวลูกค้าเห็นว่าจะประหยัดขึ้นได้มาก”

 

เมทเธียร์ บริษัทเทคไทยที่ยืนยันว่า AI ที่ดีต้องมาจากพื้นฐานบริบทไทยๆ

 

ระบบ AI ที่เกิดจากบริบทไทยแท้ สำคัญอย่างไร?

ในมุมของคุณอาร์ท ที่พัฒนาระบบ AI เพื่อนำมาใช้ในธุรกิจ เขาเชื่อว่าจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของ AI ไม่ใช่ซอฟต์แวร์จากต่างประเทศหรือระบบที่ ‘สั่งซื้อ’ เข้ามา แต่คือ การเก็บข้อมูล ทำความเข้าใจและใช้ ‘ข้อมูลที่เกิดจากบริบทของไทยเอง’

 

“วันนี้เราไม่ใช่แค่ซื้อ AI จากเมืองนอกมาใช้งานแล้วจบ แต่เรากำลังสร้าง AI ของคนไทยเอง ที่เกิดจากการเก็บดาต้าจริงๆ จากสถานการณ์จริงๆ ในพื้นที่ของเรา”

 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมทเธียร์ จำกัด (Metthier) ให้ความเห็นว่า ประเทศไทยยังไม่ได้เริ่มต้นในจุดที่ถูกต้อง นั่นคือ การสร้างฐานข้อมูล หรือ Data Base ที่เพียงพอเพื่อให้ AI เรียนรู้ได้จริง แม้จะมีการพูดเรื่องนี้มานานหลายปี แต่ยังมีน้อยองค์กรที่ลงมือเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทั้งที่นี่คือ ‘หัวใจ’ ของการสร้าง AI ให้ตอบโจทย์จริง

สำหรับการนำข้อมูลมาใช้ ซึ่งสามารถพัฒนาและต่อยอดธุรกิจได้จริงนั้น คุณอาร์ตยกตัวอย่างว่า บริษัทของเขาเริ่มเก็บข้อมูลภาพจากกล้องวงจรปิดทั่วประเทศ แล้วนำมาสอนหรือ ‘เทรน’ เพื่อให้ AI สามารถคาดการณ์พฤติกรรมผิดปกติในพื้นที่จริง เช่น AI สามารถตรวจจับบุคคลที่ปีนรั้วเข้ามาได้ว่าผิดปกติ และมีระบบที่สามารถจดจำใบหน้าของคนที่เป็นแบล็คลิสต์ได้  ระบบสามารถเข้าใจระยะของการเข้าใกล้บุคคลในพื้นที่เปลี่ยว หรือแม้แต่การใช้พลังงานในอาคารอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งการปรับอุณหภูมิแค่เพียงจาก 23 องศาเซลเซียสเป็น 26 องศาเซลเซียส ก็มีผลต่อค่าใช้จ่าย โดยสามารถประหยัดได้ถึง 30%

 

ความรู้เหล่านี้คือสิ่งที่ AI สามารถทำได้แต่จะต้องเริ่มจากการเก็บดาต้าก่อน

 

AI ที่ดีไม่ใช่แค่เห็นคนแล้วส่งเสียงเตือน แต่ต้องเข้าใจ แพทเทิร์น ของพฤติกรรมก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น และสิ่งนี้ต้องอาศัยการเก็บข้อมูลจากบริบทจริงของไทยเท่านั้น และด้วยการที่เราเป็นบริษัทเทคโนโลยีของไทย จึงเข้าใจการใช้ดาต้าในบริบทของคนไทยมากกว่าบริษัทนอก

 

ท้ายนี้ คุณอาร์ท ได้มองถึงทิศทางการเติบโตของ AI ในประเทศไทยว่ามีการตื่นตัวอย่างแพร่หลายในเมืองใหญ่โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ซึ่งประเมินว่ามีการสอนเกี่ยวกับ AI  ในระบบการศึกษาเกินกว่า 80% แม้ว่าในต่างจังหวัดอาจจะมีความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงมากกว่า  และถูกใช้ในด้านการทำงานกว่า 50%  แต่เขาก็ยอมรับว่าในระดับประเทศและระดับอุตสาหกรรมยังเพิ่งเริ่มต้น โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมความปลอดภัย ซึ่งการเติบโตยังอยู่ที่ราว 5%

 

“ ผมมองว่าด้วยเศรษฐกิจปัจจุบัน ธุรกิจต้องเริ่มประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น ระบบการจัดการที่สามารถให้ทั้งความปลอดภัย และให้ความยั่งยืน ในการจัดการพื้นที่และอาคาร จะเป็นสิ่งที่ทุกคนหันมาเห็นความสำคัญ และคิดว่าจะเติบโตมากกว่านี้ได้อย่างแน่นอน”

ข่าวล่าสุด

ไทยรั้งอันดับ 2 โลก ธุรกิจเผชิญวิกฤตข้อมูลบิดเบือนคุกคามความมั่นคง