ทางออกค่าโดยสารแพง! รัฐเล็งซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า เฟสแรก 1.7 แสนล้าน
รัฐบาลเตรียมเข้าคุมโครงข่ายรถไฟฟ้าหลัก เพื่อให้ได้ค่าโดยสารรวม 40 บาทต่อวัน ชี้โมเดล Gross Cost คือกุญแจสำคัญสู่ความยั่งยืน
KEY
POINTS
- รัฐบาลเสนอแนวทางแก้ปัญหาค่าโดยสารรถไฟฟ้าแพง โดยการซื้อคืนสัมปทานจากเอกชน (BTS และ BEM) เพื่อรวมโครงข่ายเป็นของรัฐทั้งหมด
- เฟสแรกของการซื้อคืนสัมปทานคาดว่าจะใช้งบประมาณ 1.6-1.7 แสนล้านบาท ครอบคลุมรถไฟฟ้าสายสีเขียว, สีทอง, สีชมพู, สีเหลือง และสีน้ำเงิน
- เป้าหมายสูงสุดคือการกำหนดค่าโดยสารแบบรวม (Single Fare) ในอัตราเดียว ไม่เกิน 40 บาทต่อวัน สำหรับการเดินทางทุกสายในโครงข่ายที่ซื้อคืน
แหล่งข่าวระดับสูงที่เชื่อถือได้เปิดเผยถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ที่สูงเกินไป
โดยเฉพาะเมื่อผู้โดยสารต้องเดินทางต่อสาย ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายต่อเที่ยวสูงถึง 80 บาทขึ้นไป ปัญหาหลักเกิดจากการที่ประเทศไทยยังขาดระบบการอุดหนุนที่ชัดเจนและยั่งยืนจากรัฐบาล เช่นเดียวกับที่ใช้ในเมืองใหญ่อย่างปักกิ่งหรือนิวยอร์กที่ใช้ภาษีในการอุดหนุนระบบขนส่งมวลชน
ความพยายามก่อนหน้าในการลดค่าโดยสาร เช่น โครงการ 20 บาท หรือโครงการ "คนละครึ่ง" นั้น เป็นเพียงมาตรการชั่วคราวและไม่สามารถเพิ่มจำนวนผู้โดยสารได้อย่างมีนัยสำคัญ
แนวทางแก้ไขที่เสนอ: รัฐเข้าเป็นเจ้าของโครงข่ายทั้งหมด
แนวคิดที่ดีที่สุดที่ถูกนำมาพิจารณาคือ การที่รัฐบาล (โดยมี MRTA หรือ รฟม. เป็นแกนหลัก) เข้าซื้อคืนสัมปทานจากภาคเอกชนทั้งหมด ทั้ง BTS และ BEM เพื่อให้ MRTA เป็นเจ้าของโครงข่ายรถไฟฟ้าหลักในกรุงเทพฯ โดยสมบูรณ์ เป้าหมายสูงสุดคือการ กำหนดค่าโดยสารแบบรวม (Single Fare) ในอัตราเดียว คือ ไม่เกิน 40 บาทต่อวัน สำหรับการเดินทางในทุกสายที่เกี่ยวข้อง
เส้นทางที่ถูกพิจารณาในการซื้อคืนสัมปทานเฟสแรก ได้แก่ สายสีเขียว สีทอง สีชมพู สีเหลือง และสายสีน้ำเงิน ส่วนสายสีส้มอาจอยู่ในเฟสถัดไป
ประมาณการค่าใช้จ่ายในการซื้อคืน
มีการประมาณการค่าใช้จ่ายในการซื้อคืนสัมปทานทั้งหมดรวมแล้วอยู่ที่ ประมาณ 1.6-1.7 แสนล้านบาท โดยมีการแจกแจงค่าใช้จ่ายโดยประมาณในแต่ละสายดังนี้
• สายสีเขียว ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท (คำนวณจากรายได้ 4 ปีที่เหลือของสัญญา)
• สายสีชมพูและสายสีเหลือง ประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาทต่อสาย
• สายสีน้ำเงิน ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท
รูปแบบการบริหารจัดการ: โมเดล Gross Cost
เมื่อ MRTA เข้าเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานและระบบทั้งหมดแล้ว จะใช้วิธีการจ้างเอกชนเดินรถในรูปแบบ "Gross Cost" ซึ่งเป็นโมเดลที่คล้ายกับที่ใช้ในสายสีม่วง
ภายใต้โมเดลนี้ เอกชนจะได้รับค่าจ้างคงที่ ในการให้บริการเดินรถและบำรุงรักษา และ ไม่ต้องรับความเสี่ยงด้านรายได้โดยตรง จากจำนวนผู้โดยสาร
สัญญาเดิมของแต่ละสายจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นสัญญา Gross Cost และอาจมีการขยายระยะเวลาสัญญาจ้างเดินรถออกไปเพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการชำระหนี้ (ประมาณ 30 ปี) โดยกำหนดให้สัญญาสิ้นสุดพร้อมกันทุกสาย
แผนการชำระเงินและผลกระทบทางการเงินระยะยาว
โมเดลทางการเงินนี้ออกแบบมาเพื่อให้รัฐบาล ไม่ต้องก่อหนี้ก้อนใหญ่ในคราวเดียว และไม่กระทบงบประมาณแผ่นดินโดยตรง รัฐบาลคาดการณ์ว่าจะประสบภาวะขาดทุนในช่วง 5-6 ปีแรกของการดำเนินการ เนื่องจากค่าโดยสารที่ลดลงอย่างมาก แต่จะเริ่มคุ้มทุนและมีกำไรภายใน 9 ปี
กำไรที่ได้จากค่าโดยสาร จะถูกนำไปทยอยชำระหนี้ค่าซื้อคืนสัมปทานและค่าจ้างเดินรถคืนให้กับเอกชน พร้อมดอกเบี้ย ตลอดระยะเวลาประมาณ 25-30 ปี แม้ว่าจะมีการปรับขึ้นค่าโดยสารเล็กน้อยในอนาคตตามดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) แต่ค่าโดยสารโดยรวมก็จะยังคงถูกกว่าราคาในปัจจุบัน
การรวมระบบตั๋วโดยสาร (Single Ticket)
เพื่อให้บรรลุค่าโดยสารรวม 40 บาทต่อวัน การรวมระบบตั๋วโดยสารถือเป็นกุญแจสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันระบบตั๋วมีความแตกต่างกัน (เช่น EMV และ Rabbit) ทำให้ไม่สามารถใช้ตั๋วใบเดียวในการเดินทางข้ามสายได้
• ระยะสั้น: จะใช้แอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" เป็นตัวกลางในการลงทะเบียนและเชื่อมโยงบัตรต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อให้ระบบสามารถระบุตัวผู้ใช้งานว่าเป็นคนเดียวกัน
• ระยะยาว: จะพัฒนาไปสู่ระบบ "Account-based" เช่น QR Code หรือระบบที่ผูกกับบัญชีธนาคาร ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ปีในการติดตั้งระบบและทดสอบให้แล้วเสร็จ
ประโยชน์และความยั่งยืนของโมเดล
โมเดลการซื้อคืนสัมปทานและใช้ระบบ Gross Cost นี้มอบประโยชน์หลายด้าน
1. ประชาชน: ได้รับประโยชน์โดยตรงจาก ค่าโดยสารถูกลงมาก (40 บาทต่อวัน) สามารถเดินทางได้ทั่วถึงทุกสาย ลดภาระค่าใช้จ่าย ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ และช่วยลดปัญหามลพิษ PM2.5
2. เอกชน (ผู้รับจ้างเดินรถ): ได้รับค่าจ้างที่มั่นคง ลดความเสี่ยงด้านรายได้ และยังสามารถใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการเดินรถต่อไปได้ โดยที่รัฐบาลทยอยชำระหนี้ค่าซื้อคืนให้
3. รัฐบาล: สามารถกำหนดค่าโดยสารที่เป็นธรรมได้เอง สร้างระบบที่ยั่งยืน และที่สำคัญคือ ไม่สร้างหนี้สาธารณะก้อนใหญ่ในทันที
ปัจจุบัน รัฐบาลได้หารือในหลักการกับภาคเอกชนแล้ว และกำลังจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบ ก่อนจะเริ่มกระบวนการเจรจารายละเอียดตาม พ.ร.บ. ร่วมทุนต่อไป
ผลกระทบต่อโครงการรถไฟฟ้า 40 บาทหลังยุบสภา
สำหรับผลกระทบต่อแผนค่าโดยสาร 40 บาท หลังจากการยุบสภาของ นายกอนุทิน ชาญวีระกุล นั้น แผนการนี้อยู่ระหว่างการนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบ
ซึ่งหมายความว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือการยุบสภา การดำเนินการตามแผนอาจล่าช้าลงหรือถูกทบทวนโดยรัฐบาลชุดใหม่ได้
อย่างไรก็ตาม โมเดลการบริหารจัดการและการเงินที่เสนอมานี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว โดยมี MRTA เป็นผู้ดูแลหลัก ทำให้แนวคิดนี้มีความเป็นไปได้ที่จะดำเนินต่อไป หากได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจตัดสินใจชุดถัดไป


