ผ่าทางตันเมืองการบิน UTA พัฒนาสนามบินอู่ตะเภา รื้อแผนลงทุน ลุย MRO
"กัปตันพุฒิพงศ์" เปิดใจแผนรื้อใหญ่เมืองการบินอู่ตะเภา เจรจา EEC ปรับสัญญาแยกไฮสปีด พร้อมทุ่ม 2 พันล้านปักหมุดศูนย์ซ่อม MRO ย้ำต้องจบใน 1 ปี
KEY
POINTS
- กลุ่ม UTA เสนอปรับลดขนาดการลงทุนและเป้าหมายผู้โดยสารของโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินฯ เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารลดลงมากหลังโควิด-19 ทำให้แผนเดิมไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
- UTA ยื่นข้อเสนอขอปลดล็อกเงื่อนไขที่ผูกโครงการไว้กับรถไฟความเร็วสูงที่ล่าช้า เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยขีดเส้นตายการเจรจาให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 ปี 2569
- ขณะที่โครงการหลักยังรอความชัดเจน บางกอกแอร์เวย์ส (BA) ในกลุ่ม UTA ได้ตัดสินใจเดินหน้าลงทุนศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) มูลค่า 2,000 ล้านบาทก่อน
มหากาพย์โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 2.9 แสนล้านบาท ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 5 ปี ผ่านมือมาถึง 3 รัฐบาล กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ
เมื่อ "กัปตันพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ในฐานะแม่ทัพใหญ่ของกลุ่ม UTA ออกมาเปิดเผยถึงความคืบหน้าล่าสุดที่สะท้อนให้เห็นว่า "สมมติฐานเดิม ใช้ไม่ได้กับโลกปัจจุบันอีกต่อไป"
โจทย์ใหม่ในวันที่โลกเปลี่ยน: รื้อสัญญา-ลดสเกล
จากการสัมภาษณ์ล่าสุด กัปตันพุฒิพงศ์ยอมรับว่าการเจรจากับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ถึงการปรับแก้สัญญาและการลดขนาดการลงทุน "ยังไม่จบ" และยังอยู่ในกระบวนการ
แม้ล่าสุดจะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกันเมื่อเดือนกันยายน 2568 เพื่อกำหนดแนวทางที่แต่ละฝ่ายต้องทำ แต่โจทย์ใหญ่คืออีอีซีต้องนำข้อเสนอไปพิจารณาในภาพรวมเพื่อเสนอต่อ ครม. ต่อไป
เหตุผลของการรื้อใหญ่ครั้งนี้มาจากตัวเลขความเป็นจริงที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กัปตันพุฒิพงศ์ชี้ว่า ก่อนวิกฤตโควิด-19 สนามบินอู่ตะเภาเคยมีผู้โดยสารสูงถึง 2 ล้านคนต่อปี แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 3-4 แสนคนเท่านั้น ตัวเลขที่เคยคำนวณไว้ในแผนเดิมจึงไม่ใช่ตัวเลขที่เหมาะสมอีกต่อไป
"ทาง UTA อยู่ระหว่างคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารใหม่ เพื่อเจรจากับ EEC โดยจะเสนอลงทุนสร้างอาคารผู้โดยสารเฟสแรก จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 12 ล้านคน อาจปรับลดเริ่มที่ 3 ล้านคน และภาพรวมทั้งโครงการอาจลดลงจากเป้าหมาย 60 ล้านคน เหลือไม่ถึง 30 ล้านคน" กัปตันพุฒิพงศ์อธิบายถึงความจำเป็นในการปรับแผนการลงทุนและ Minimum Guarantee ใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ตัดเงื่อนไข "ไฮสปีด" เดิมพันครั้งสุดท้าย
จุดตายของโครงการนี้คือการผูกโยงกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งมีความล่าช้า UTA จึงยื่นข้อเสนอขอเดินหน้าแบบ "ไร้ไฮสปีด" โดยขอให้อีอีซีปลดล็อกเงื่อนไขนี้ เพื่อให้เมืองการบินเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่ต้องรอกันไปมา
"เราตกลงกันแล้วว่าจะไม่รอความชัดเจนของรถไฟความเร็วสูง เพราะถ้าผูกไว้แล้วรถไฟไม่มา เราก็ไปไม่ได้" กัปตันพุฒิพงศ์ระบุ
พร้อมยังได้ขีดเส้นตายว่ากระบวนการปรับแก้ระเบียบและเงื่อนไขต่างๆ ต้องแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 ปี 2569 หรือภายใน 1 ปีนับจากวันเซ็น MOU หากพ้นกำหนดนี้แล้วยังตกลงกันไม่ได้ "ก็น่าจะจบแล้วจริงๆ"
และ UTA มีสิทธิ์เรียกร้องค่าชดเชยจากเงินลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาทที่ลงไปกับค่าที่ปรึกษาและค่าออกแบบ
BA ไม่รอ รุกลงทุน MRO อู่ตะเภา
ในขณะที่ภาพใหญ่ของเมืองการบินยังต้องรอการเคาะโต๊ะจากภาครัฐ ในส่วนของ บางกอกแอร์เวย์ส (BA) ได้ตัดสินใจเดินหน้าลงทุนในส่วนที่ทำได้ทันที คือโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO)
กัปตันพุฒิพงศ์เปิดเผยแผนการลงทุนมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยใช้โมเดลแบ่งพื้นที่เช่าจากการบินไทย ซึ่งได้รับสัมปทานพื้นที่ 210 ไร่จากอีอีซี โดย BA จะได้รับจัดสรรพื้นที่ 30 ไร่ สำหรับสร้างโรงซ่อมเครื่องบินลำตัวแคบ รองรับเครื่องบินจอดซ่อมได้ประมาณ 2 ลำ
"เบื้องต้นจะรองรับการซ่อมเครื่องบินของบางกอกแอร์เวย์สเองก่อน เพราะปัจจุบันไทยขาดแคลนศูนย์ซ่อม ทำให้ต้องนำเครื่องไปซ่อมต่างประเทศ คาดว่าจะเริ่มโครงการได้ภายในปีหน้า"
ผู้บริหาร BA กล่าวทิ้งท้ายถึงทิศทางธุรกิจที่ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและเติบโต
สถานการณ์ของเมืองการบินอู่ตะเภาในวันนี้ จึงเปรียบเสมือนการ "ผ่าตัดใหญ่" ที่เอกชนยอมถอยมามองความเป็นจริง และยื่นเงื่อนไขวัดใจภาครัฐว่า จะยอมปลดล็อกพันธนาการเพื่อให้โครงการเดินหน้า หรือจะปล่อยให้เมกะโปรเจกต์นี้กลายเป็นเพียงภาพฝันที่ต้องล้มเลิกไปในที่สุด


