กทม. ยกระดับ 10 มาตรการสู้ PM2.5 ลุยแก้ 3 ต้นตอฝุ่นมุ่งสู่อากาศสะอาด
ผู้ว่าฯ ชัชชาติแถลงยกระดับแผนสู้ฝุ่น PM2.5 เดินหน้า 10 มาตรการลดมลพิษจากรถยนต์ ไซต์งาน และการเผาชีวมวล พร้อมดึงเทคโนโลยีวิเคราะห์ฝุ่นแบบเรียลไทม์ สร้างกรุงเทพฯ อากาศสะอาด
KEY
POINTS
- กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ประกาศยกระดับ 10 มาตรการ เพื่อควบคุมและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างเข้มข้น มุ่งเป้าสร้างอากาศสะอาดและคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชน
- มาตรการดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อจัดการกับ 3 ต้นตอหลักของฝุ่นโดยตรง ได้แก่ การเผาไหม้ของเครื่องยนต์, การเผาชีวมวล (การเผาในภาคเกษตร) และสภาพอากาศปิด
- มาตรการสำคัญที่ถูกยกระดับขึ้นประกอบด้วย การขยายเขตมลพิษต่ำ (Low Emission Zone) ให้ครอบคลุมทั้ง 50 เขต, การส่งเสริมการบำรุงรักษารถยนต์ (โครงการ Green List Plus), และการประสานงานกับจังหวัดข้างเคียงเพื่อลดการเผา
วันนี้ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงมาตรการสู้ฝุ่น ประกาศยกระดับ 10 มาตรการ เพื่อควบคุม ลด และขจัดฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีสาเหตุหลัก ๆ 3 ประการ คือ สภาพอากาศปิด การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ และการเผาชีวมวล (การเผาไหม้การเกษตร) เพื่อกรุงเทพฯ อากาศสะอาด ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้มีประกาศเรื่อง กำหนดให้ท้องที่เขตกรุงเทพมหานครเป็นเขตควบคุมมลพิษ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน - มีนาคม ของทุกปี เนื่องจากกรุงเทพมหานครประสบปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เกินมาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568)
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวว่า เรื่องฝุ่นเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น และเป็นเรื่องที่มีผลต่อการอยู่รอดของเมืองในอนาคต เพราะเรื่องคุณภาพชีวิตเป็นเรื่องสำคัญต้องเอาจริงเอาจัง เป็นหนังยาวเหมือนการวิ่งมาราธอน ต้องขอบคุณทุกภาคีเครือข่ายที่ร่วมทำกันอย่างต่อเนื่องและเริ่มเห็นผลที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งเรื่องฝุ่นเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ต้องรู้ถึงต้นตอของการเกิดฝุ่นที่ชัดเจนทั้งจากการเผาชีวมวลและรถยนต์ เพื่อให้สามารถแก้ไขได้ถูกจุดอย่างมีประสิทธิภาพ สุดท้ายแล้วเชื่อว่าเราจะต่อสู้กับฝุ่นได้เหมือนที่หลายเมืองในโลกทำด้วยการใช้วิทยาศาสตร์เป็นตัวนำ
“เรื่องนี้ต้องสู้จนทุกคนมีอากาศบริสุทธิ์หายใจได้ทุกวัน ไม่ต้องมีสีส้ม ไม่มี PM2.5 ในกรุงเทพฯ เชื่อว่าปีหน้าจะเห็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญหลายอย่าง มีศูนย์จากหลายประเทศมาช่วยวิเคราะห์ฝุ่นแบบเรียลไทม์ให้เห็นว่าฝุ่นมาจากไหน ทำให้เราไปดูแลที่ต้นตอได้ละเอียดขึ้น” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว
จาก “นักสืบฝุ่น” สู่มาตรการสู้ฝุ่นเมืองกรุง
ภายใต้แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 เป็นต้นมา กรุงเทพมหานคร ได้กำหนดภารกิจ “นักสืบฝุ่น” เพื่อประสานความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ ดำเนินการศึกษาข้อมูลองค์ประกอบฝุ่นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมถึงแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ สำหรับใช้ประกอบการกำหนดมาตรการทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยฝุ่นในกรุงเทพฯ มีสาเหตุหลักมาจากการเผาชีวมวล (การเผาไหม้การเกษตร) สภาพอากาศปิด และการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ กรุงเทพมหานครได้ดำเนินตามมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นต่อเนื่องตลอดปีทั้ง 365 วัน โดยในช่วงปลายปี (เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคมของทุกปี) ซึ่งมีปริมาณฝุ่นที่สูงขึ้น กรุงเทพมหานคร จะดำเนินมาตรการเข้มข้นขึ้น โดยในปี 2569 ได้ยกระดับ 10 มาตรการ ดังนี้
1. ยกระดับมาตรการเขตมลพิษต่ำ (Low Emission Zone : LEZ) ครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ 50 เขต เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด จากการเผาไหม้เครื่องยนต์ LEZ โดยเฉพาะรถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไป จากเดิมที่ครอบคลุมพื้นที่วงแหวนรัชดาภิเษก 22 เขต (เต็มพื้นที่ 9 เขต บางส่วน 13 เขต) โดยจะบังคับใช้เมื่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประกาศสถานการณ์ฝุ่นวิกฤต เมื่อค่า PM2.5 สูงเกินมาตรฐาน โดยกรุงเทพมหานคร ได้ทำระบบลงทะเบียน Green List สำหรับยานพาหนะที่ผ่านมาตรฐานการปล่อยไอเสีย โดยรถที่ใช้พลังงานสะอาด (EV, NGV, EURO 5-6) และรถที่ผ่านการบำรุงรักษาตามมาตรฐาน เช่น เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง และไส้กรองอากาศ ให้ลงทะเบียน “บัญชีสีเขียว หรือ Green List” เพื่อรับอนุญาตให้เข้าพื้นที่ ปัจจุบันมีรถบรรทุก 6 ล้อ ขึ้นไปลงทะเบียน “บัญชีสีเขียว” จำนวน 14,000 คัน นอกจากนี้ กทม. ได้ใช้กล้อง CCTV อัจฉริยะ เพื่อตรวจจับสภาพการปล่อยมลพิษในพื้นที่ มาตรการนี้ช่วยลดมลพิษในพื้นที่นำร่องได้กว่า 15% ถือเป็นมาตรการเชิงพื้นที่ที่ช่วยลดมลพิษ “ปลายท่อ” และสร้างมาตรฐานการปล่อยไอเสียที่เข้มแข็งขึ้นภายในเมือง
2. โครงการ Green List Plus ส่งเสริมให้ประชาชนเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองอากาศ เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด และลงทะเบียน Green List Plus เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตั้งเป้าปี 2569 จำนวน 500,000 คัน โดยเชิญชวนประชาชนนำรถยนต์ 4 ล้อ เข้ากระบวนการบำรุงรักษา ได้แก่ การตรวจสภาพรถ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองอากาศ ณ ศูนย์บริการบำรุงรักษารถที่เข้าร่วมโครงการรถคันนี้ลดฝุ่น และคลินิกรถลดฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่บัดนี้ถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2569 และลงทะเบียนบัญชีสีเขียวกลุ่มรถยนต์ 4 ล้อ (Green List Plus) ผ่านการสแกน QR Code ณ ศูนย์บริการที่นำรถยนต์เข้ารับบริการ เพื่อสนับสนุนโครงการรถคันนี้ลดฝุ่น และคลินิกรถลดฝุ่นละออง PM2.5
3. เพิ่มความเข้มข้นมาตรฐานการจัดการรถยนต์ควันดำห้ามเกิน 20% จากเดิมห้ามเกิน 30% เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด เพิ่มความเข้มข้นการตรวจวัดค่าควันดำ เริ่มวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 เฉลี่ยเรียกตรวจเดือนละ 10,000 คัน เพียงครึ่งเดือนแรกที่มีการปรับมาตรฐาน จับเพิ่มได้ 3.6 เท่า เมื่อเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา
4. ยกระดับการตรวจรถในไซต์ก่อสร้าง/สถานประกอบการ เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด จากไซต์ก่อสร้าง โดยสุ่มตรวจวัดค่าควันดำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในฤดูฝุ่น รวมถึงให้รถ 6 ล้อขึ้นไปลงทะเบียน Green List
5. ยกระดับการจัดการมลพิษในโรงงาน และสถานประกอบกิจการที่มีหม้อไอน้ำทุกแห่ง (รวม 256 โรงงาน) เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด ติดตั้งระบบตรวจวัดมลพิษทางอากาศที่ปล่อยจากปล่องอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง หรือ CEMS และเพิ่มความเข้มข้นของมาตรฐานมลพิษจากปล่องหม้อน้ำ ได้แก่ TSP เข้มข้นขึ้น 78%, SO2 เข้มข้นขึ้น 87% NOx เข้มข้นขึ้น 60% ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรมเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายในช่วงที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการปรับร่างประกาศฯ เพื่อดำเนินการต่อไป
6. ยกระดับการประสานงาน และสนับสนุนจังหวัดข้างเคียง ในการทำข้อตกลงร่วมกันเพื่อสนับสนุนการลดการเผาชีวมวล (การเผาไหม้การเกษตร) เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด จากการเผาชีวมวล (การเผาไหม้การเกษตร)
7. ยกระดับการจัดทำห้องปลอดฝุ่น แล้วเสร็จในปี 2568 ในโรงเรียน 971 ห้อง (49%) และศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 115 แห่ง (44%) ตั้งเป้าหมาย 100% โรงเรียน 1,966 ห้อง และศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 262 แห่ง ภายในเดือนมีนาคม 2569
8. ยกระดับมาตรการ Work From Home: WFH เป็นอีกมาตรการหนึ่งที่ภาครัฐ เอกชน และประชาชน จะมีส่วนร่วมลดปัญหาฝุ่นการจราจร โดยลดการเดินทาง ดูแลสุขภาพตัวเอง และลดผลกระทบต่อสุขภาพ โดยปี 2569 ตั้งเป้าเข้าร่วมสูงสุด 300,000 คน จากปี 2568 ที่ตั้งเป้าหมาย 200,000 คน ปัจจุบันมีหน่วยงานลงทะเบียนเข้าร่วมเป็นเครือข่าย WFH แล้ว 211,541 คน จาก 368 หน่วยงาน โดยในปีนี้ปรับเพิ่มแนวทางการร่วม WFH เป็น 2 แบบ คือ (1) WFH เมื่อ กทม. ประกาศขอความร่วมมือ ภายใต้เงื่อนไข หากพบค่าฝุ่น PM2.5 อยู่ในระดับสีส้ม (ค่า PM2.5 ตั้งแต่ 37.6 - 75.0 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 35 เขตขึ้นไป (70% ของพื้นที่กรุงเทพฯ) อัตราการระบายอากาศ (VR) ไม่ดี คือ น้อยกว่า 2,000 ตารางเมตรต่อวินาที และพบจุดความร้อน (จุดเผา) เกินวันละ 80 จุด ติดต่อกัน 3 วัน โดยในปีนี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ประกาศขอความร่วมมือ WFH ไปแล้วเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 68 (2) หน่วยงาน Work From Home (WFH) อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน ระหว่างเดือนมกราคม 2568 ถึงเดือนมีนาคม 2569 ทั้งนี้ หน่วยงาน/องค์กร สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งลดฝุ่นจากภาคการจราจร โดยลงทะเบียนร่วมเป็นเครือข่าย WFH ได้ที่ลิงค์ https://u.bangkok.go.th/WFH2569 สอบถาม โทร. 0 2203 2951
9. ยกระดับการแจ้งเตือน โดยแจ้งเตือนผ่าน Social Media ทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน AirBKK ซึ่งปัจจุบันมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมถึงช่องทางอื่น ๆ ของกรุงเทพมหานคร และ Line Alert พร้อมเพิ่มช่องทาง Cell Broadcast และระบบพยากรณ์คาดการณ์ฝุ่นรายเขตเรียลไทม์ เพิ่มเป็น 7 วัน จากเดิม 3 วัน โดยมีการแจ้งเตือนค่าฝุ่นในเชิงพื้นที่ และแนะนำวิธีการดูแลตนเองในช่วงที่ค่าฝุ่นสูง มีการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษให้กับนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ด้วย นอกจากนี้ เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมโดยสามารถแจ้งเหตุหรือแหล่งกำเนิดฝุ่นได้ทาง Traffy Fondue
10. เพิ่มพื้นที่สีเขียว ด้วยการปลูกต้นไม้ล้านต้น เพิ่มเป้าหมายเป็น 3 ล้านต้น จากตอนนี้ปลูกไปแล้วกว่า 2.2 ล้านต้น และเพิ่มสวน 15 นาที ให้ครบ 500 แห่ง ตามเป้าหมาย ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 441 แห่ง
จับมือ 5 พื้นที่เป้าหมายในภาคกลาง บูรณาการลดเผาแก้ PM2.5
นอกจากนั้น ยังได้บูรณาการร่วมกับหลายหน่วยงานขับเคลื่อนมาตรการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ปี 2569 ในพื้นที่ภาคกลาง หารือแนวทางลดการเผาในพื้นที่เกษตร ในพื้นที่เป้าหมาย 5 จังหวัดต้นลม ประกอบด้วย นครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี สระแก้ว รวมถึงควบคุม และลดการเผาในพื้นที่ป่า เพื่อควบคุมและลดมลพิษในพื้นที่เมือง ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครด้วย โดยจะมีการสร้างความเข้าใจกับเกษตรกรถึงผลกระทบการเผา เสนอตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จังหวัด และ กทม. เสนอแนวทางจัดปฏิทินการเผาหากจำเป็น
ในการนี้ นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร พญ.เลิศลักษณ์ ลีลาเรืองแสง รองปลัดกรุงเทพมหานคร นางสาววรนุช สวยค้าข้าว รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ดร.อุดม หงส์ชาติกุล ผู้จัดการและเลขานุการ สภาลมหายใจกรุงเทพฯ และผู้เกี่ยวข้องร่วมงาน


