นักวิชาการเจาะวิกฤต "น้ำท่วมหาดใหญ่" จมบาดาลหนักสุดในรอบ 15 ปี
หาดใหญ่อ่วม! หลังมวลน้ำระลอกใหญ่เข้าท่วมทั้งเมือง ด้านนักวิชาการสิ่งแวดล้อมชี้ 3 ปัจจัยรุมเร้า ทั้งลานีญา ผังเมืองเปลี่ยน และระบบระบายน้ำที่เกินขีดความสามารถ
KEY
POINTS
- การเติบโตของเมืองหาดใหญ่เปลี่ยนพื้นที่เกษตรและป่าไม้เป็นสิ่งปลูกสร้าง ทำให้สูญเสีย "ฟองน้ำธรรมชาติ" ที่ช่วยดูดซับน้ำ ส่งผลให้น้ำไหลบ่าลงสู่คลองอู่ตะเภาเร็วและแรงเกินควบคุม
- ปริมาณฝนถล่มหนักถึง 165.5 มม. เกินกว่าศักยภาพที่ระบบจะระบายได้ทัน ประกอบกับการถมที่ดินขวางทางน้ำธรรมชาติ ทำให้ทิศทางน้ำเปลี่ยนและเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจ
- ปรากฏการณ์ "ลานีญา" เสริมแรงมรสุมให้รุนแรงผิดปกติ ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักแบบกระจุกตัว (Rain Bomb) ในระยะเวลาสั้นๆ จนปริมาณน้ำสะสมสูงสุดในรอบ 15 ปี
สถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา กำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤต โดยล่าสุด น้ำได้ไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจและถนนสายหลักหลายสาย
สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง เทศบาลนครหาดใหญ่ต้องประกาศเตือนภัย ให้ประชาชนใน 12 พื้นที่เสี่ยงเตรียมรับมืออย่างเร่งด่วน
ขณะที่ภาพรวมทั้งจังหวัดสงขลา พบว่ามีน้ำท่วมครอบคลุมครบทั้ง 16 อำเภอแล้ว โดยเฉพาะที่ตำบลควนลัง อำเภอหาดใหญ่ ระดับน้ำสูงถึงเอว จนเจ้าหน้าที่ต้องเร่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ชุมชนริมคลองต่ำทันที
ท่ามกลางความตื่นตระหนก คำถามสำคัญที่ตามมาคือ "ทำไมปีนี้หาดใหญ่น้ำท่วมหนักที่สุดในรอบ 15 ปี?"
ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ได้ออกมาไขคำตอบผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (Sonthi Kotchawat)
โดยถอดบทเรียนจากสถิติน้ำท่วมใหญ่ในอดีต (ปี 2531, 2543, และ 2553) วิเคราะห์เจาะลึกถึง 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้หาดใหญ่ต้องเผชิญน้ำท่วมหนัก ดังนี้
1. ฤทธิ์เดช "ลานีญา" และสภาพอากาศสุดขั้ว
ปัจจัยแรกเกิดจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนอย่างหนัก โดยปกติแล้วภาคใต้จะมีฝนชุกในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม แต่ปีนี้มีความรุนแรงกว่าปกติเนื่องจากปรากฏการณ์ "ลานีญา" (La Niña) ที่เข้ามาเสริมกำลัง
ทำให้ร่องมรสุมความกดอากาศต่ำที่พาดผ่านภาคใต้มีพลังมหาศาล ส่งผลให้รูปแบบฝนเปลี่ยนไป เป็นลักษณะฝนตกในระยะเวลาสั้นๆ แต่มีปริมาณมาก (Heavy Rain) ซึ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดน้ำหลากจากภูเขาไหลลงสู่คลองอู่ตะเภา เส้นทางระบายน้ำหลักของเมือง รวดเร็วกว่าปกติ
2. เมืองขยายตัว ไร้พื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติ
การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินรอบเมืองหาดใหญ่ คืออีกหนึ่งตัวแปรสำคัญ การขยายตัวของเมือง (Urbanization) ทำให้พื้นที่เกษตรกรรมและป่าไม้ ซึ่งเคยทำหน้าที่เป็น "พื้นที่รับน้ำ" หรือแก้มลิงธรรมชาติ ถูกแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้าง อาคาร และถนนคอนกรีต
เมื่อฝนตกลงมา น้ำจึงไม่มีที่ซึมซับและไหลบ่าลงสู่คลองอู่ตะเภาและคลองสาขา (เช่น คลองสะเดา, คลองหล้าปัง) อย่างรวดเร็วและรุนแรง
โดยเฉพาะบริเวณ "เขต 8" และชุมชนวัดโคก ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบต่ำ (ระดับน้ำทะเลปานกลางเพียง 4.7 เมตร) จึงกลายเป็นจุดรับน้ำที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด
3. ระบบระบายน้ำ "สะดุด"
ดร.สนธิ ชี้ว่า แม้เทศบาลจะเตรียมการรับมือ แต่ปริมาณฝนที่ตกลงมานั้นเกินขีดความสามารถที่จะระบายได้ทัน โดยปกติหากฝนตกเกิน 100 มม. ก็ถือว่าหนักหนาสาหัสแล้ว
แต่เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ปริมาณฝนในหาดใหญ่พุ่งสูงถึง 165.5 มม.
ประกอบกับปัญหาเชิงโครงสร้าง จากการถมที่ดินที่ไปขวางทางน้ำธรรมชาติ และทับเส้นทางระบายน้ำเดิม ทำให้ทิศทางการไหลของน้ำเปลี่ยนแปลงไป เกิดการท่วมขังสะสมจนเอ่อล้นเข้าท่วมตัวเมืองในที่สุด
เหตุการณ์ครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงภัยธรรมชาติ แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการวางผังเมืองที่ต้องกลับมาทบทวนกันอย่างจริงจังอีกครั้ง
อ้างอิง: Facebook สนธิ คชวัฒน์


