posttoday

นักวิชาการเจาะวิกฤต "น้ำท่วมหาดใหญ่" จมบาดาลหนักสุดในรอบ 15 ปี

23 พฤศจิกายน 2568

หาดใหญ่อ่วม! หลังมวลน้ำระลอกใหญ่เข้าท่วมทั้งเมือง ด้านนักวิชาการสิ่งแวดล้อมชี้ 3 ปัจจัยรุมเร้า ทั้งลานีญา ผังเมืองเปลี่ยน และระบบระบายน้ำที่เกินขีดความสามารถ

KEY

POINTS

  • การเติบโตของเมืองหาดใหญ่เปลี่ยนพื้นที่เกษตรและป่าไม้เป็นสิ่งปลูกสร้าง ทำให้สูญเสีย "ฟองน้ำธรรมชาติ" ที่ช่วยดูดซับน้ำ ส่งผลให้น้ำไหลบ่าลงสู่คลองอู่ตะเภาเร็วและแรงเกินควบคุม
  • ปริมาณฝนถล่มหนักถึง 165.5 มม. เกินกว่าศักยภาพที่ระบบจะระบายได้ทัน ประกอบกับการถมที่ดินขวางทางน้ำธรรมชาติ ทำให้ทิศทางน้ำเปลี่ยนและเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจ
  • ปรากฏการณ์ "ลานีญา" เสริมแรงมรสุมให้รุนแรงผิดปกติ ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักแบบกระจุกตัว (Rain Bomb) ในระยะเวลาสั้นๆ จนปริมาณน้ำสะสมสูงสุดในรอบ 15 ปี

 

สถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา กำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤต โดยล่าสุด น้ำได้ไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจและถนนสายหลักหลายสาย

 

สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง เทศบาลนครหาดใหญ่ต้องประกาศเตือนภัย ให้ประชาชนใน 12 พื้นที่เสี่ยงเตรียมรับมืออย่างเร่งด่วน

 

ขณะที่ภาพรวมทั้งจังหวัดสงขลา พบว่ามีน้ำท่วมครอบคลุมครบทั้ง 16 อำเภอแล้ว โดยเฉพาะที่ตำบลควนลัง อำเภอหาดใหญ่ ระดับน้ำสูงถึงเอว จนเจ้าหน้าที่ต้องเร่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ชุมชนริมคลองต่ำทันที

 

ท่ามกลางความตื่นตระหนก คำถามสำคัญที่ตามมาคือ "ทำไมปีนี้หาดใหญ่น้ำท่วมหนักที่สุดในรอบ 15 ปี?"

 

ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ได้ออกมาไขคำตอบผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (Sonthi Kotchawat)

 

โดยถอดบทเรียนจากสถิติน้ำท่วมใหญ่ในอดีต (ปี 2531, 2543, และ 2553) วิเคราะห์เจาะลึกถึง 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้หาดใหญ่ต้องเผชิญน้ำท่วมหนัก ดังนี้

 

ดร.สนธิ คชวัฒน์

 

1. ฤทธิ์เดช "ลานีญา" และสภาพอากาศสุดขั้ว 

 

ปัจจัยแรกเกิดจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนอย่างหนัก โดยปกติแล้วภาคใต้จะมีฝนชุกในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม แต่ปีนี้มีความรุนแรงกว่าปกติเนื่องจากปรากฏการณ์ "ลานีญา" (La Niña) ที่เข้ามาเสริมกำลัง 

 

ทำให้ร่องมรสุมความกดอากาศต่ำที่พาดผ่านภาคใต้มีพลังมหาศาล ส่งผลให้รูปแบบฝนเปลี่ยนไป เป็นลักษณะฝนตกในระยะเวลาสั้นๆ แต่มีปริมาณมาก (Heavy Rain) ซึ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดน้ำหลากจากภูเขาไหลลงสู่คลองอู่ตะเภา เส้นทางระบายน้ำหลักของเมือง รวดเร็วกว่าปกติ

 

2. เมืองขยายตัว ไร้พื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติ 

 

การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินรอบเมืองหาดใหญ่ คืออีกหนึ่งตัวแปรสำคัญ การขยายตัวของเมือง (Urbanization) ทำให้พื้นที่เกษตรกรรมและป่าไม้ ซึ่งเคยทำหน้าที่เป็น "พื้นที่รับน้ำ" หรือแก้มลิงธรรมชาติ ถูกแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้าง อาคาร และถนนคอนกรีต

 

เมื่อฝนตกลงมา น้ำจึงไม่มีที่ซึมซับและไหลบ่าลงสู่คลองอู่ตะเภาและคลองสาขา (เช่น คลองสะเดา, คลองหล้าปัง) อย่างรวดเร็วและรุนแรง

 

โดยเฉพาะบริเวณ "เขต 8" และชุมชนวัดโคก ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบต่ำ (ระดับน้ำทะเลปานกลางเพียง 4.7 เมตร) จึงกลายเป็นจุดรับน้ำที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด

 

"น้ำท่วมหาดใหญ่" จมบาดาลหนักสุดในรอบ 15 ปี

 

 

3. ระบบระบายน้ำ "สะดุด" 

 

ดร.สนธิ ชี้ว่า แม้เทศบาลจะเตรียมการรับมือ แต่ปริมาณฝนที่ตกลงมานั้นเกินขีดความสามารถที่จะระบายได้ทัน โดยปกติหากฝนตกเกิน 100 มม. ก็ถือว่าหนักหนาสาหัสแล้ว 

 

แต่เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ปริมาณฝนในหาดใหญ่พุ่งสูงถึง 165.5 มม.

 

ประกอบกับปัญหาเชิงโครงสร้าง จากการถมที่ดินที่ไปขวางทางน้ำธรรมชาติ และทับเส้นทางระบายน้ำเดิม ทำให้ทิศทางการไหลของน้ำเปลี่ยนแปลงไป เกิดการท่วมขังสะสมจนเอ่อล้นเข้าท่วมตัวเมืองในที่สุด

 

เหตุการณ์ครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงภัยธรรมชาติ แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการวางผังเมืองที่ต้องกลับมาทบทวนกันอย่างจริงจังอีกครั้ง

 

อ้างอิง: Facebook สนธิ คชวัฒน์

ข่าวล่าสุด

TOA บริจาค 10 ล้าน! เร่งฟื้นฟู รพ.หาดใหญ่ พร้อมส่งอาสาผนึกกำลังทหาร