บินออกจากสิงคโปร์เตรียมจ่ายเพิ่ม เคาะเก็บ "ภาษี SAF" เริ่มปีหน้า
สิงคโปร์ชาติแรกของโลก! ประกาศเก็บภาษี SAF ผู้โดยสารขาออก หนุนเชื้อเพลิงการบินยั่งยืน เริ่มบังคับใช้ปีหน้า
ตามรายงานจาก Bloomberg สิงคโปร์ประกาศเดินหน้าเก็บ "ภาษีเชื้อเพลิงการบินยั่งยืน" (SAF) กับผู้โดยสารที่เดินทางออกจากประเทศทุกคน โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ต้นปีหน้า ในอัตราสูงสุด 41.60 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 1 พันบาท)
นับเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางการบินโลก ที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมการบินอย่างจริงจัง
สำนักงานการบินพลเรือนสิงคโปร์ (CAAS) เปิดเผยรายละเอียดว่า อัตราค่าธรรมเนียมจะแตกต่างกันไปตามเส้นทางและชั้นโดยสาร
โดยผู้โดยสารชั้นประหยัด (Economy) และพรีเมียมอีโคโนมี (Premium Economy) ที่เดินทางระยะสั้น (ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) จะจ่ายเพิ่มเพียง 1 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 25 บาท)
ขณะที่เที่ยวบินระยะไกลไปยังทวีปอเมริกา จะมีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 10.40 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 260 บาท)
ส่วนผู้โดยสารชั้นธุรกิจ (Business) และชั้นหนึ่ง (First Class) จะต้องรับภาระสูงกว่ากลุ่มแรกถึง 4 เท่า หรือสูงสุดอาจถึง 41.60 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 1,000 บาท) สำหรับเที่ยวบินระยะไกล
ยันภาษี SAF ไม่กระทบผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่อง
ภาษี SAF จะเริ่มบังคับใช้กับตั๋วโดยสารที่จำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 69 สำหรับเที่ยวบินที่ออกเดินทางจากสิงคโปร์ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 69 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อนักเดินทางที่แวะเปลี่ยนเครื่องที่สิงคโปร์แต่อย่างใด ส่วนเที่ยวบินขนส่งสินค้า (Cargo) จะถูกเก็บภาษีในอัตราส่วนตามน้ำหนัก (ต่อกิโลกรัม)
ชาติแรกของโลก มุ่งเป้าใช้ SAF 3-5%
การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ออกมาตรการเก็บภาษีผู้โดยสารเพื่อสนับสนุนเชื้อเพลิงสะอาดโดยตรง
รายได้จากส่วนนี้จะถูกนำไปสนับสนุนการจัดซื้อเชื้อเพลิง SAF แบบรวมศูนย์ เพื่อให้สิงคโปร์บรรลุเป้าหมายการใช้ SAF ที่ 3-5% ภายในปี 2030
นับเป็นก้าวที่ท้าทายอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าสนามบินชางงีเป็นหนึ่งในสนามบินที่มีผู้ใช้บริการคับคั่งที่สุดในโลก และกำลังเตรียมทำสถิติผู้โดยสารสูงสุดครั้งใหม่ในปีนี้ แซงหน้าสถิติเดิม 68.3 ล้านคนเมื่อปี 2019
เชื้อเพลิง SAF ความท้าทายของอุตสาหกรรมการบินโลก
แม้ว่าภาคการบินจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 1.2% ของโลก (ตามข้อมูลจากคณะกรรมาธิการยุโรป) แต่การลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมนี้ถือเป็นเรื่อง "มหาหิน"
เนื่องจากความต้องการเดินทางที่พุ่งสูง สวนทางกับต้นทุนเชื้อเพลิง SAF ที่ยังแพงลิบลิ่วและมีปริมาณการผลิตที่จำกัดมาก
ข้อมูลจากสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ชี้ว่า แม้การผลิต SAF จะโตเท่าตัวในปีที่แล้ว แต่ก็ยังคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.3% ของเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่นทั้งหมด
ที่น่าสนใจคือ การประกาศของสิงคโปร์เกิดขึ้นในช่วงเดียวกับการประชุม COP30 ที่บราซิล และแม้ตัวเลขภาษีจะดูสูง แต่ก็ยังถือว่า "ถูกกว่า" ที่หลายฝ่ายกังวลไว้ในตอนแรก
ซึ่งรัฐบาลเคยประเมินไว้ที่ 3-16 ดอลลาร์สิงคโปร์ แต่เนื่องจากต้นทุน SAF ในตลาดโลกลดลง จึงทำให้สามารถกำหนดอัตราภาษีที่ต่ำกว่าคาดได้


