posttoday

เปิด '10 จังหวัดคนจนสูงสุดในไทย' แม่ฮ่องสอน-ปัตตานีจนซ้ำซ้อน 15 ปี

21 กันยายน 2568

สภาพัฒน์เปิดข้อมูล 10 อันดับคนจนมากที่สุดในไทย แม่ฮ่องสอนครองแชมป์ตามด้วย 3 จว.ชายแดนใต้ ชี้ผลจากการพัฒนาเศรษฐกิจที่กระจุกตัวอยู่แต่ใน กทม.

สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยในปี 2567 พบคนจนในไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.89 ของประชากรทั้งหมด คือ 3.43 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ร้อยละ 3.41 

โดยพิจารณาจากเส้นความยากจนที่ปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน จากเดิมอยู่ที่ 3,043 บาทต่อคนต่อเดือน

สำหรับเส้นความยากจน คือ การคำนวณค่าใช้จ่ายขั้นต่ำต่อคนต่อเดือนที่ครัวเรือนจำเป็นต้องมีเพื่อดำรงชีวิตอย่างน้อยในระดับมาตรฐาน

 

สศช.ยังได้เปิดเผย 10 อันดับจังหวัดที่มีคนจนสูงที่สุดในไทย ได้แก่

  1. แม่ฮ่องสอน
  2. ยะลา
  3. ปัตตานี
  4. นราธิวาส
  5. อุบลราชธานี
  6. สระแก้ว
  7. พัทลุง
  8. ศรีสะเกษ
  9. เชียงราย
  10. ตาก

 

โดยมีข้อมูลจังหวัดที่มีสัดส่วนความยากจนสูงสุด 10 อันดับ เรียงจากมากไปน้อย ได้แก่  

  1. แม่ฮ่องสอน  25.69%
  2. ยะลา 25.41%
  3. ปัตตานี 25.39%
  4. นราธิวาส  21.07%
  5. อุบลราชธานี  20.34%
  6. สระแก้ว 16.00%
  7. พัทลุง  15.74%
  8. ศรีสะเกษ 14.08%
  9. เชียงราย  13.69%
  10. ตาก  13.37%

 

ทั้งนี้ พบว่า 5 ใน 10 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และตาก มักติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของจังหวัดที่มี สัดส่วนคนจนสูงสุดในปีอื่น ๆ ด้วย คือ มีแนวโน้มเผชิญกับปัญหาความยากจนเรื้อรัง

นอกจากนี้ แม่ฮ่องสอนและปัตตานี ยังมีปัญหาความยากจนเรื้อรังนานกว่า 15 ปี

 

 

การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศทำให้เกิดปัญหา 'ความเหลื่อมล้ำ' 

 

สศช. ระบุว่าหากพิจารณาเรื่องความยากจนจำแนกเป็นภูมิภาคของไทย พบว่าการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความแตกต่างเชิงโครงสร้างระหว่างภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ

 

โดยพบว่าสัดส่วนคนจนในภาคเหนือมี 5.75% ในขณะที่ภาคอีสานมี 6.56% ภาคใต้ 9.43% 

 

โดยความเจริญจะกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และภาคกลาง ซึ่งมีแรงงานกว่าร้อยละ 25 ในภาคบริการสมัยใหม่ ครอบคลุมสาขาเทคโนโลยี การเงิน การแพทย์ และการสื่อสาร  และยังเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมหลักของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ซึ่งทำให้พื้นที่ดังกล่าวได้เปรียบกว่าภูมิภาคอื่น

 

ทั้งนี้ การดำเนินนโยบาของภาครัฐที่ผ่านมาเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ยังมีช่องว่าง ที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม ได้แก่

  1. มาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและสังคมหลายโครงการไม่สอดคล้องกับความต้องการของครัวเรือนยากจนที่มีภาระพึ่งพิงสูง เพราะไม่สามารถเข้าถึงบริการสนับสนุนที่จำเป็น
  2. การออกแบบและดำเนินนโยบายไม่สอดคล้องกับบริบทเฉพาะของแต่ละพื้นที่ ทั้งด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ ประชากร และความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างได้อย่างยั่งยืน
  3. ภาครัฐไม่ได้ให้ความสำคัญกับการประเมินผลกระทบโครงการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง 
  4. มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรยากจนส่วนใหญ่เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า แต่ขาดการสร้างรายได้ที่มั่นคง

ข่าวล่าสุด

CKP รับประกาศเกียรติคุณ Sustainability Disclosure Recognition 4 ปีต่อเนื่อง