เด็กกรุงเทพฯ เครียดพุ่ง 30% กทม.ชูระบบสุขภาพจิต “ใกล้ตัว”
เด็กกรุงเทพฯ เครียดพุ่ง 30% เปิดเวทีเสวนาระดมไอเดียสร้างระบบสุขภาพจิต “ใกล้ตัว” รองรับวิกฤตสุขภาพจิตยุคใหม่
ระบบสุขภาพที่ดีที่สุดคือระบบธรรมชาติ ระบบการแพทย์และสาธารณสุขเริ่มจากครอบครัว เพื่อน อาจารย์ ที่โรงเรียน หรือเพื่อนร่วมงาน เป็นระบบที่ใกล้ตัวที่สุด เข้าถึงได้ง่ายที่สุด
"ปัญหาสุขภาพจิต" ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในโรงพยาบาลหรือห้องให้คำปรึกษา แต่แทรกซึมอยู่ในทุกมิติของชีวิตคนเมือง โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อข้อมูลล่าสุดพบว่า เด็กวัยเรียนอายุ 12–18 ปี ในกรุงเทพฯ มีภาวะความเครียดสูงถึง 30% ซึ่งนับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนภาพความเปราะบางของโครงสร้างทางจิตใจในสังคมเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็วแต่ขาดระบบพยุงจิตใจที่เพียงพอ
เวทีเสวนาระดับชาติ เปิดประเด็น “ชุมชนสุขภาพจิตดีที่ยั่งยืน”
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมปริ๊นซ์พาเลซ กรุงเทพฯ กรมสุขภาพจิตร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายจัดสัมมนา “Better Mental Health Care for All – ร่วมสร้างพลังใจ สุขภาพจิตไทยยั่งยืน” เพื่อระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนเกี่ยวกับการพัฒนาระบบสุขภาพจิตที่เข้าถึงง่ายและยั่งยืน โดยมีบุคลากรจากภาครัฐ ภาคประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัย อาสาสมัคร และโรงพยาบาลจากทั่วประเทศกว่า 600 คนเข้าร่วม
หนึ่งในไฮไลต์ของงานคือเสวนาหัวข้อ “Special Seminar the Keyword: ไขคำสำคัญสู่ชุมชนสุขภาพจิตดีที่ยั่งยืน” ซึ่งมี รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา อาทิ นางสาวณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว (สสส.), นายยศพล บุญสม ภูมิสถาปนิกผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม “WE PARK” ที่มุ่งเนรมิตพื้นที่สีเขียวเพื่อการเยียวยาใจ และนายยงยุทธ์ สุขพิทักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตจาก รพ.สต.เขาพระบาท จังหวัดนครศรีธรรมราช
“สุขภาพจิตที่ดีที่สุด เริ่มจากธรรมชาติและคนใกล้ตัว”
รองผู้ว่าฯ ทวิดา กล่าวในเวทีเสวนาว่า ความท้าทายของกรุงเทพมหานครในวันนี้คือการออกแบบ “ระบบสุขภาพจิต” ที่ไม่ยึดติดกับกรอบของการแพทย์แบบเดิม ๆ แต่ต้องเป็นระบบที่ “ธรรมชาติ” มากขึ้น โดยเริ่มจากกลุ่มที่ใกล้ชิดที่สุดในชีวิตประจำวันของเด็กและประชาชน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือครูที่โรงเรียน ซึ่งถือเป็นด่านหน้าในการรับรู้และช่วยเหลือเบื้องต้น
“จากการลงพื้นที่ตรวจสุขภาพจิตในโรงเรียนช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เราพบว่าเด็กกรุงเทพฯ ที่มีภาวะความเครียดมีมากถึง 30% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ นี่เป็นตัวเลขที่น่าตกใจ และย้ำเตือนเราว่า ต้องขยายระบบการดูแลสุขภาพจิตให้ลึกและใกล้ชิดกับชุมชนมากกว่านี้” รองผู้ว่าฯ กล่าว
รองผู้ว่าฯ ยังเน้นถึงการขยายการเข้าถึงบริการ Telemedicine ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการเปิด “หน้าต่างใหม่” ให้กับระบบบริการสุขภาพจิตในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ หากโรงพยาบาลทุกแห่งสามารถเชื่อมระบบกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะสามารถให้คำปรึกษา ป้องกัน และดูแลจิตใจประชาชนได้ตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ
ก้าวข้ามระบบเก่า สู่การออกแบบ “ระบบ Hybrid” ที่ตอบโจทย์จริง
“เราไม่สามารถเอาระบบของที่อื่นมายัดให้กรุงเทพฯ ใช้ได้ทั้งหมด เพราะเราแตกต่าง” รองผู้ว่าฯ ทวิดา กล่าวต่อ พร้อมเสนอแนวคิดว่าการสร้างระบบสุขภาพจิตที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยความเข้าใจอย่างแท้จริงถึงพฤติกรรมและความต้องการของประชาชนในเมือง การฟัง การมีส่วนร่วม และการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เป็นหัวใจสำคัญ
พร้อมเสนอแนวทางการทำงานแบบ Hybrid ที่ผสมผสานระหว่างการดูแลในเชิงเทคนิค การแพทย์ และองค์ประกอบทางสังคม เช่น พื้นที่สาธารณะ สื่อสารมวลชน โรงเรียน และสภาพแวดล้อมในเมือง ซึ่งทั้งหมดสามารถช่วยเยียวยาและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตได้อย่างยั่งยืน
107 เครือข่ายจากทั่วประเทศ ร่วมนำเสนอแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด
ในการสัมมนาครั้งนี้ ยังมีการนำเสนอผลงานจากเครือข่ายสุขภาพจิตจำนวน 107 แห่ง ในรูปแบบ Oral Presentation และโปสเตอร์ ภายใต้ 8 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
- พลังชุมชนดูแลสุขภาพจิตและสารเสพติด
- ทีม 3 หมอดูแลสุขภาพจิตและสารเสพติด
- ชุมชนสุขภาพจิตดี
- สถานประกอบการกับการดูแลใจพนักงาน
- มหาวิทยาลัยกับการดูแลใจนักศึกษา
- การดูแลจิตใจผู้สูงอายุ
- จังหวัดกับการขับเคลื่อนงานสุขภาพจิต
- PCU คุณภาพกับการดูแลจิตใจในชุมชน
การนำเสนอเหล่านี้ไม่เพียงแบ่งปันองค์ความรู้ แต่ยังเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เรียนรู้จากกันและกัน พร้อมต่อยอดสู่การขยายผลให้ครอบคลุมประชากรในวงกว้างมากขึ้น
เมืองที่น่าอยู่ ต้องมีระบบ “ดูแลใจ” ที่เข้มแข็ง
จากเสียงสะท้อนของเวทีเสวนาในครั้งนี้ ทำให้เห็นว่า “สุขภาพจิต” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือเฉพาะกลุ่มอีกต่อไป แต่เป็นปัจจัยพื้นฐานที่หล่อเลี้ยงคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่กำลังเติบโตท่ามกลางแรงกดดันนานา หากเมืองต้องการจะเติบโตอย่างยั่งยืน เมืองก็ต้อง “ฟัง” จิตใจของคนมากขึ้น และสร้างระบบที่ไม่เพียงรักษาเมื่อเจ็บป่วย แต่ “ป้องกัน” และ “ดูแลใจ” ตั้งแต่ต้นทาง


