posttoday

เจาะกลไก “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ” ยิ่งคุมเข้ม ยิ่งลดปัญหา จริงหรือ?

10 มิถุนายน 2568

จากกรณีศึกษาของสิงคโปร์ งานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าการมีกาสิโนที่ถูกกฎหมายอาจไม่เพิ่มอัตราการพนันที่มีปัญหา และในบางกรณีอาจลดลงด้วยซ้ำ จริงไหม?

ประเด็นที่น่าสนใจและสวนทางกับความเชื่อดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง จากกรณีศึกษาของสิงคโปร์คือ มีงานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าการมีกาสิโนที่ถูกกฎหมายอาจไม่เพิ่มอัตราการพนันที่มีปัญหา และในบางกรณีอาจลดลงด้วยซ้ำ นี่คือปรากฏการณ์ที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง แต่เมื่อพิจารณาในบริบทที่สิงคโปร์ดำเนินการอย่างเข้มงวด ก็จะเห็นเหตุผลที่ชัดเจนมากขึ้น

 

ก่อนที่สิงคโปร์จะเปิดกาสิโนในปี 2010 ในปี 2005 มีการสำรวจพบว่าสัดส่วนของ "นักพนันที่มีปัญหา" (problem gamblers) ในหมู่ชาวสิงคโปร์อยู่ที่ 2.1% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ไม่น้อย

 

แต่หลังจากการเปิดรีสอร์ทครบวงจร (IRs) ที่มีกาสิโนเพียงหนึ่งปี ในปี 2011 การสำรวจของ National Council on Problem Gambling (NCPG) กลับพบว่าสัดส่วนของ นักพนันที่มีปัญหาลดลงเหลือ 1.4% และสัดส่วนของ "นักพนันที่ติดการพนัน" (pathological gamblers) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอาการรุนแรง ก็ลดลงจาก 2.0% เหลือ 1.2% เช่นกัน

 

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?

คำตอบอยู่ที่ปรัชญาและมาตรการการกำกับดูแลที่สิงคโปร์นำมาใช้อย่างแข็งขันและต่อเนื่อง คือ

1. การกำกับดูแลที่เข้มงวด อุตสาหกรรมการพนันที่ถูกกฎหมายภายใต้การควบคุมของรัฐบาลสิงคโปร์ไม่ได้ปล่อยให้ดำเนินการอย่างเสรี แต่ถูกกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดโดย Casino Regulatory Authority (CRA) และ NCPG ซึ่งต่างจากบ่อนพนันใต้ดินที่ไร้การควบคุมใดๆ

 

2. มาตรการป้องกันทางสังคมที่แข็งแกร่งที่สุด สิงคโปร์ลงทุนอย่างมหาศาลในการพัฒนาระบบป้องกันและช่วยเหลือผู้ที่อาจมีปัญหาจากการพนัน ซึ่งรวมถึง:

  • ค่าธรรมเนียมแรกเข้าที่แพง: เก็บค่าธรรมเนียม 150 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อวัน หรือ 2,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อปีสำหรับพลเมืองและผู้พำนักถาวร ทำให้คนท้องถิ่นเข้าถึงได้ยากขึ้นและเป็นการคัดกรองเบื้องต้น
  • ระบบการห้ามเข้า (Exclusion Orders): ทั้งการห้ามเข้าด้วยตนเอง การห้ามเข้าโดยครอบครัว การห้ามเข้าโดยบุคคลที่สาม (สำหรับผู้มีปัญหาทางการเงิน) และการห้ามเข้าตามกฎหมาย (เช่น ผู้ล้มละลาย) ทำให้ผู้ที่เสี่ยงต่อการติดการพนันไม่สามารถเข้าถึงกาสิโนได้
  • ข้อจำกัดการเข้าชม (Visit Limits): กำหนดจำนวนครั้งที่บุคคลสามารถเข้ากาสิโนได้ต่อเดือน
  • การห้ามโฆษณาและการห้ามให้เครดิตแก่คนท้องถิ่น: ลดแรงจูงใจในการเล่นและป้องกันการก่อหนี้
  • การสนับสนุนและบำบัด: มีการจัดตั้งบริการให้คำปรึกษา การฟื้นฟู และการจัดการหนี้สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการพนัน ซึ่งทั้งหมดได้รับทุนสนับสนุนจากค่าธรรมเนียมแรกเข้ากาสิโน
  • การใช้เทคโนโลยี: เช่น การใช้ระบบจดจำใบหน้าและเทคโนโลยีการตรวจสอบตัวตนเพื่อบังคับใช้กฎระเบียบ

 

ข้อสังเกตและบทเรียนสำหรับประเทศอื่น

ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า การทำให้กาสิโนถูกกฎหมายไม่ได้แปลว่าปัญหาจะเพิ่มขึ้นเสมอไป หากแต่ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลมีเจตจำนงทางการเมืองที่แข็งแกร่งพอที่จะสร้างและบังคับใช้มาตรการป้องกันที่เข้มงวดหรือไม่

 

ในทางตรงกันข้าม การพนันใต้ดินมักจะไร้การควบคุม ไม่มีมาตรการป้องกัน หรือการช่วยเหลือใดๆ สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทำให้ปัญหาบานปลายและยากต่อการแก้ไข

 

บทเรียนจากสิงคโปร์จึงเน้นย้ำว่า กุญแจสำคัญไม่ใช่แค่การมีหรือไม่มีกาสิโน แต่เป็นเรื่องของ "การจัดการและการควบคุม" หากมีการวางแผนที่ดี มีระบบป้องกันที่แข็งแกร่ง และการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ก็เป็นไปได้ที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปพร้อมกับการปกป้องพลเมืองจากอันตรายของการพนันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

อ้างอิงข้อมูล: Rajah & Tann Singapore LLP

ข่าวล่าสุด

ทรัมป์เรียกร้องให้อิหร่าน “ยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข”