เจาะลึก เปลี่ยนอากาศและพื้นที่น้ำท่วมเป็น 'เงิน' ที่ จ.อ่างทอง
เจาะลึก 'เปลี่ยนอากาศเป็นเงินกับธนาคารต้นไม้ จ.อ่างทอง' ที่สามารถเปลี่ยนพื้นที่น้ำท่วมขัง ให้กลายเป็นทรัพย์สินและป่าทำเงิน!
KEY
POINTS
- ธนาคารต้นไม้บ้านบางเสด็จ จ.อ่างทอง พลิกฟื้นพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมเป็นพื้นที่ปลูกป่าและยกระดับสู่การขายคาร์บอนเครดิตที่สร้างรายได้ให้กับชุมชน
- การเลือกพันธุ์ไม้ที่สามารถเติบโตได้ในพื้นที่น้ำท่วม จะช่วยลดปัญหาการสูญเสียต้นไม้ได้อย่างยั่งยืน
- ข้อดีของการรวมกลุ่มเกษตรกรในชุมชนและเข้าร่วมโครงการธนาคารต้นไม้ ทำให้เกษตรกรร่วมกันสร้างความเข้มแข็งในชุมชน เพื่อสร้างพื้นที่ป่าอย่างยั่งยืน
ด้วยสภาพภูมิศาสตร์อ่างทองเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ แบนราบ ไม่มีความลาดเอียง มีความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 10 เมตร ส่งผลให้เวลาเกิดอุทกภัย จะทำให้น้ำระบายช้า กลายเป็นจุดที่น้ำท่วมหนักทุกปี
นางเพยาว์ แสงประไพ ประธานธนาคารต้นไม้บ้านบางเสด็จ จังหวัดอ่างทอง ได้เล่าให้ โพสต์ทูเดย์ ฟังถึงปัญหาของพื้นที่ ก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการธนาคารต้นไม้ ของ ธ.ก.ส.
ก่อนหน้านี้ ที่นี่ไม่มีต้นไม้ เวลาน้ำท่วม น้ำไหลบ่าแรงและเร็วจนเราเก็บของไม่ทัน ทำให้เกิดความเสียหายเยอะ เพราะไม่มีแนวกั้นมาช่วยให้ขวางทางน้ำให้ช้าลง
แต่เดิมพื้นที่บริเวณรอบบ้านของนางเพยาว์ เป็นพื้นที่นาสำหรับปลูกข้าวและมีโคกเล็กๆ ไว้เก็บอุปกรณ์ทางการเกษตร ปลูกผัก และเลี้ยงสัตว์
“เวลาฝนมาน้ำก็ท่วมหนัก พอถึงฤดูร้อนก็ร้อนจัด แทบไม่มีที่ร่ม ๆ ให้หลบร้อน”
จำนวนพื้นที่ป่าและต้นไม้ที่ลดลงย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและกิจกรรมของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการดูดซึมน้ำผ่านผิวดินได้ลดลง น้ำท่วมในฤดูฝน และภาวะโลกร้อน
อ้างอิงข้อมูลสถานการณ์ป่าไม้และสิ่งแวดล้อมไทย ปี 2566 ของมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร พบว่าจากปี 2566 ถึงปี 2567 ผืนป่าของไทยลดลงมากที่สุดในรอบ 10 ปี มีการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ถึง 317,819.20 ไร่ จากปี 2565 ที่มีพื้นที่ป่าไม้เหลือ 102,135,974.96 ไร่ หรือ 31.57% ของพื้นที่ประเทศ
และเมื่อเจาะจงไปที่สัดส่วนพื้นที่ป่าไม้แบ่งตามรายภูมิภาค พบว่า พื้นที่ภาคกลาง มีพื้นที่ป่าไม้ 12,263,466.16 ไร่ หรือ 21.55% ของพื้นที่ภูมิภาค ลดลงจากปี 2565 เท่ากับ 171,143.04 ไร่ นอกจากนี้ยังมีการระบุว่า สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติทางธรรมชาติ จะพบว่ามีปริมาณฝนเฉลี่ยสูงกว่าค่าปกติ ทำให้อุทกภัยและภัยทางธรรมชาติมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น
จากปัญหาสู่การรวมกลุ่มธนาคารต้นไม้ของพื้นที่อ่างทอง
นางเพยาว์ แสงประไพ ย้อนให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของการปลูกต้นไม้ว่า ทาง ธ.ก.ส. ได้เข้ามาเชิญชวนเกษตรกรเพื่อเข้าร่วมโครงการธนาคารต้นไม้ ซึ่งเป็นโครงการที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนปลูกต้นไม้ตามแนวพระราชดำริปลูกป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง ในที่ดินตนเองและชุมชน และนำระบบของ ธ.ก.ส. คือ มีการรับฝากต้นไม้แทนการฝากเงิน นอกจากจะสามารถใช้ประโยชน์จากต้นไม้ที่ปลูกแล้ว ยังสามารถเปลี่ยนต้นไม้ให้กลายเป็นสินทรัพย์ เพื่อใช้ค้ำประกันสินเชื่อกับทาง ธ.ก.ส. ได้อีกทางหนึ่ง
“ตอนนี้มีสมาชิกอยู่ในธนาคารต้นไม้ที่นี่ 64 คนค่ะ เมื่อก่อนบางคนก็เคยชะลอว่าจะเข้าไม่เข้าร่วม ปลูกต้นไม้แล้วได้อะไร แต่ตอนนี้พอเห็นเราทำได้จริงก็เริ่มกระตือรือร้น ส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมจะเป็นข้าราชการ ซึ่งปลูกต้นไม้เพื่อเป็นทรัพย์สินไว้ให้แก่ลูกหลานในช่วงบั้นปลายชีวิต”
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ตามมาคือ ในพื้นที่น้ำท่วมขังอย่างอ่างทองนั้น ควรจะปลูกต้นไม้อะไร?
นางเพยาว์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อชุมชนต่อยอดจากโครงการธนาคารต้นไม้ ไปสู่โครงการ BAAC Carbon Credit ซึ่งเป็นโครงการ ธ.ก.ส. รับซื้อ – จำหน่ายคาร์บอนเครดิตจากชุมชนธนาคารต้นไม้ จึงจำเป็นต้องพิจารณาว่าไม้ประเภทไหนบ้างที่ชุมชนปลูกและจะเข้าเกณฑ์ของโครงการได้
“ นอกเหนือจากคุณสมบัติของคนที่จะเข้าร่วมโครงการแล้ว เราก็ต้องพิจารณาว่า พื้นที่นั้นเป็นอย่างไร พร้อมที่จะเป็นพื้นที่เกิดไฟป่าหรือไฟแบบเผาทุ่งหรือไม่ เพื่อป้องกันความเสียหายที่ส่งผลกระทบต่อต้นไม้
สำคัญที่สุดคือ เราต้องพิจารณาประเภทไม้ ก่อนเข้าร่วมโครงการ BAAC Carbon Credit จะต้องดูต้นไม้ที่มีอายุยืนยาว ไม่ต่ำกว่า 10 ปี และต้องเป็นไม้ป่า อาทิ ตะเคียน จามจุรี หรือต้นยางนา เป็นต้น เราจะไม่เอาไม้ล้มลุก ที่มีอายุไม่ยืนยาว นอกจากนี้ ต้องดูว่า ต้นไม้ที่เข้าร่วมต้องเป็นไม้ที่สามารถแช่น้ำได้เป็นเดือน ๆ หรือไม่ เพราะต้นไม้จะต้องอยู่กับเรานาน 10 ปี ตามที่ระบุไว้ในสัญญาที่ทำไว้กับองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก (อบก.)”
การสนับสนุนที่เกิดจากการรวมกลุ่มเป็นธนาคารต้นไม้
การรวมกลุ่มเข้าสู่การเป็นธนาคารต้นไม้ของ ธ.ก.ส. และยกระดับไปสู่การซื้อ - ขายคาร์บอนเครดิตในโครงการ BAAC Carbon Credit นั้น ประโยชน์อีกอย่างของสมาชิกคือ การไม่ได้ลงมือเพียงลำพัง ในฐานะประธานกลุ่ม นางเพยาว์ จะลงไปให้คำปรึกษาแต่ละแปลงด้วยตัวเอง เพื่อดูความพร้อมของพื้นที่ และให้คำปรึกษาควบคู่กับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส.
“ถ้าถามว่าอะไรเป็นความท้าทาย คิดว่าเป็นเรื่องความกระตือรือร้นของสมาชิกมากกว่า เพราะอะไรเขาถึงคิดว่าทำไม่ได้ อย่างเช่น การทำพิกัดระบุพื้นที่และต้นไม้ ตนก็จะเข้าไปช่วยหรือบางครั้งคนที่มีอายุมากก็จะเข้าไปทำให้เลย บางคนอายุมากมีต้นไม้เป็น 1,000 ต้น วันหนึ่งทำแค่ 3-5 ต้น ก็ไม่ไหวแล้ว
รวมไปถึงการดูแลต้นไม้ ก็จะมีพี่และคนอื่น ๆ เข้าไปให้ความรู้ เช่น ต้องปลูกต้นอะไร ห่างกันแค่ไหน บางคนอยากปลูกต้นสักทั้งหมด แต่การปลูกแบบนั้น ต้นไม้จะโตแค่ขอบรอบนอก ตรงกลางจะไม่โต เนื่องจากแสงแดดไม่ถึง อีกอย่างใบไม้ที่ตกลงมาเป็นอินทรีย์วัตถุ ก็จะไม่ได้กลายเป็นอาหารให้แก่ต้นไม้ เพราะเป็นต้นไม้ชนิดเดียวกัน “
ประธานธนาคารต้นไม้ฯ เล่าเพิ่มเติมว่า บางคนอยากมีรายได้ นอกเหนือไปจากการซื้อ - ขายคาร์บอนเครดิต บางครั้งก็มาช่วยกันผสมดินบ้าง รับจ้างปลูกป่าบ้าง
เราสามารถตัดแต่งกิ่งไม้ เอาไปเผาถ่าน ใบไม้ที่ตกลงมาก็รวมแล้วกองไว้ พอย่อยสลายก็จะมาผสมดินขาย
นอกจากนี้ การเข้าร่วมในโครงการ BAAC Carbon Credit ของ ธ.ก.ส. มีข้อดีคือ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รวมไปถึงเข้ามาให้ความรู้เรื่องการประเมินและจัดทำเอกสารสำหรับการซื้อ - ขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับเกษตรกร นอกเหนือไปจากการได้รับเงินจากการปลูกป่าและการขายคาร์บอนเครดิต
“อีกอย่างราคาที่ขายให้กับ ธ.ก.ส. ก็เป็นราคาสูงสุดแล้ว ที่ศึกษามาก็เห็นว่าที่อื่น เริ่มต้นจากตันละ 55 บาท แต่ที่นี่ให้ราคาสูงถึงตันละ 3,000 บาท
สุดท้าย เมื่อถึงความทุ่มเทที่มีต่อโครงการ จนทำให้ลงทุน ลงแรง และตั้งใจกับโครงการนี้มาก นั่นก็เพราะ อยากช่วยเหลือสังคม
“ถึงเราจะเป็นคนตัวเล็ก ๆ เท้าเล็ก ๆ แต่เราก็อยากจะเพิ่มพื้นที่ป่าให้กับประเทศ อากาศก็จะดีขึ้น น้ำท่วมก็จะไม่ไหลบ่าฉับพลัน ประโยชน์ของการปลูกป่า นอกจากได้เงินจากการขายคาร์บอน ขายถ่านและทำปุ๋ยแล้ว ยังได้ต้นไม้ ซึ่งเป็นไม้มีค่า ที่สามารถเก็บเป็นทรัพย์สินให้แก่ลูกหลานเพิ่มเติมด้วย ส่วนตัวเชื่อว่า ทุกที่สามารถปลูกป่าได้ เพียงมีความรู้และความตั้งใจว่า จะปลูกไม้อะไรให้เหมาะสมกับพื้นที่นั้นก็พอ” นางเพยาว์ กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ สำหรับพื้นที่ของธนาคารต้นไม้จังหวัดอ่างทอง จะสามารถขายคาร์บอนเครดิตในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งคาดการณ์ว่าจะสามารถมีต้นไม้เข้าร่วมโครงการที่ 20,000 ต้น หากคิดเป็นปริมาณคาร์บอนจำนวนเกือบ 2 แสนกิโลคาร์บอน เพื่อเปลี่ยนอากาศให้เป็นเงินสู่เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ.


