เจาะรายละเอียด อย.ปลดล็อก ยา ‘ATMP’ ตามความเสี่ยง 3 ระดับ!
Exclusive โพสต์ทูเดย์หามาให้ เจาะรายละเอียดมาตรฐานจาก อย. ปลดล็อกการขึ้นทะเบียน ATMP เน้นการประเมินความเสี่ยง 3 ระดับ จากอะไร ยาแบบไหนเข้าข่ายเสี่ยงต่ำ-กลาง-สูง
KEY
POINTS
- อย. กำหนดแนวทางกำกับดูแลยา ATMP (ผลิตภัณฑ์ยาขั้นสูง) ใหม่ โดยแบ่งตามระดับความเสี่ยง 3 ระดับ คือ ต่ำ กลาง และสูง เพื่อให้เหมาะสมกับนวัตกรรมการรักษา
- เกณฑ์การแบ่งความเสี่ยงพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ แหล่งที่มาของเซลล์ (จากตนเองหรือผู้อื่น) ระดับการดัดแปลงเซลล์ และการตัดต่อดัดแปลงพันธุกรรม
- แต่ละระดับความเสี่ยงจะมีข้อกำหนดในการควบคุมต่างกัน ตั้งแต่จัดเป็นหัตถการทางการแพทย์ (เสี่ยงต่ำ) ไปจนถึงต้องขึ้นทะเบียนเป็นยาเต็มรูปแบบ (เสี่ยงสูง)
‘ATMP’ หรือ Advanced Therapy Medicinal Products คือ ผลิตภัณฑ์ยาเพื่อการบำบัดรักษาขั้นสูง พูดง่ายๆ คือ ‘ยาใหม่’ ที่มีทั้งวิธีการผลิตแตกต่างจากยาเดิมโดยสิ้นเชิง และได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่า จะเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงกระบวนการรักษาโรค
ล่าสุด ภายในงาน "Thailand ATMP Roadmap 2025” ซึ่งจัดขึ้นโดยกระทรวงสาธารณสุข ระหว่างวันที่ 22-23 ธันวาคม 2568
ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. หน่วยงานกำกับที่มีบทบาทสำคัญ เรียกง่ายๆ ว่า ‘ยา’ ตัวไหนจะได้ขึ้นทะเบียนและใช้ได้ ปลอดภัยจริง ต้องผ่านกระบวนการรับรองจากทางอ.ย. ได้ออกมาให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับยา ATMP
เภสัชกร มรกต ประภัสศิริพันธุ์ เภสัชกรชำนาญการ (กองยา) ได้ให้นิยามว่า ATMP ของไทยอ้างอิงจากหน่วยงานของสหภาพยุโรป แบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ เซลล์บำบัด ยีนบำบัด วิศวกรรมเนื้อเยื่อ และผลิตภัณฑ์ผสมหรืออื่นๆ
แม้ว่า ATMP จะเป็นยา แต่ถือว่าเป็นยาชนิดใหม่ ที่เปลี่ยนวิธีคิดของระบบสาธารณสุข กล่าวคือ
รักษาที่สาเหตุ เปลี่ยนจากการรักษาตามอาการของโรคเรื้อรังหรือโรคหายากมาเป็นการรักษาให้หายขาดได้ด้วยการรับการรักษาเพียงครั้งเดียว
และเป็น ‘อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ระดับโลก’ นั่นคือ ประเทศที่สามารถกำกับดูแล ATMP ได้รวดเร็วและปลอดภัย จะได้เปรียบทั้งในเชิงสุขภาพและเศรษฐกิจระดับโลก
“ ATMP ส่วนมากมาจากเซลล์ที่มีชีวิต ขณะที่ยาแผนปัจจุบันอย่างเช่น ยาเม็ด ยาน้ำที่เรารู้จักเป็นสารเคมี .. ATMP ส่วนมากจะเป็นการผลิตสำหรับคนไข้เฉพาะราย จึงมีความแตกต่างในเรื่องของความเสถียรของยา และความเสี่ยงที่ไม่คงที่”
เมื่อเป็นเช่นนี้ กฎเกณฑ์การควบคุมจึงต้องเปลี่ยน โดยใช้การกำกับตามความเสี่ยงผลิตภัณฑ์เป็นเกณฑ์ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น ความเสี่ยงต่ำ กลาง และเสี่ยงสูง
ภายหลังเภสัชกรมรกต ได้ให้ข้อมูลกับ โพสต์ทูเดย์ เพิ่มเติม ถึงเกณฑ์ในการแบ่งความเสี่ยงผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อการควบคุมการผลิต และการขึ้นทะเบียน ดังนี้
เกณฑ์การแบ่งความเสี่ยง
เป็นการเอา JP Safety Act (Class 1–3) ของประเทศญี่ปุ่นมาปรับเข้ากับเกณฑ์ที่ประเทศไทยจัดทำขึ้นใหม่ โดยดู 3 เรื่องหลัก ได้แก่
- แหล่งเซลล์ Autologous / Allogeneic
- ระดับการดัดแปลง Minimal vs More-than-minimal (GTP vs GMP)
- การดัดแปลงจีโนม Gene-edited vs Not gene-edited
จึงแบ่ง ATMP ได้เป็นความเสี่ยง 3 ระดับ ได้แก่
Low Risk – Class 3 (ความเสี่ยงต่ำ)
ได้แก่ Minimal Manipulated Products (Autologous) หรือ ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ได้จาก เซลล์หรือเนื้อเยื่อของผู้ป่วยเอง (autologous) และผ่านการ ปรับแต่งหรือจัดการให้น้อยที่สุด (minimal manipulation) ก่อนนำกลับมาใช้รักษาในคนเดิม
เกณฑ์หลัก คือ
- ใช้ เซลล์จากตัวผู้ป่วยเอง (autologous)
- ผ่านกระบวนการ minimal manipulation เช่น ล้าง, ตัด, แยก, เก็บรักษา โดยไม่เปลี่ยนคุณสมบัติทางชีวภาพ/หน้าที่หลักของเซลล์
- Homologous use ใช้เพื่อทำหน้าที่เหมือนเดิม เช่น เซลล์ผิวหนังรักษาผิวหนัง
- หรือ Non-homologous use แต่ยังเป็นการใช้ในผู้ป่วยรายนั้นๆ ภายใต้บริบทหัตถการทางการแพทย์ (medical practice ใน รพ.)
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ ที่ใช้ได้ ได้แก่
- การปลูกถ่ายผิวหนังอัตโนมัติที่เตรียมเพียงล้าง/ตัดแต่ง
- การปลูกถ่ายไขกระดูก/สเต็มเซลล์เม็ดเลือดอัตโนมัติที่แค่คัดแยกเบื้องต้น
- การใช้ adipose-derived cells (เซลล์ที่ได้มาจากเนื้อเยื่อไขมัน) ที่เตรียมโดยวิธีที่ไม่เปลี่ยนคุณสมบัติทางชีวภาพ/หน้าที่หลักของเซลล์ (minimal manipulation) เพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อในผู้ป่วยรายเดียว (ขึ้นกับวิธีใช้ว่าจะถือเป็น Homologous use หรือ/ non-homologous use )
กรอบกฎหมายที่อ้างอิง ได้แก่
- ญี่ปุ่น ASRM Class 3 เทคโนโลยีทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู (Regenerative medicine )ความเสี่ยงต่ำ ใช้ เซลล์ที่มาจากร่างการของผู้ป่วยเองที่ความเสี่ยงไม่สูง และ/หรือดัดแปลงเล็กน้อย ซึ่งต้องให้คณะกรรมการที่ได้รับการรับรองประเมินแผน และไม่ต้องขึ้นทะเบียน เพราะถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์เวชศาสตร์ฟื้นฟู (regenerative medical product)
- สหรัฐฯ FDA ถ้า ผลิตภัณฑ์จากเซลล์หรือเนื้อเยื่อมนุษย์ (HCT/P) เป็น minimal manipulation (ถูกจัดการโดยไม่เปลี่ยนคุณสมบัติ) และ Homologous use (ใช้ทำหน้าที่เดิม) และเข้าเงื่อนไข 21 CFR 1271.10(a) จะควบคุมภายใต้ Section 361 คือ ไม่ต้องขึ้นทะเบียนเป็นยาหรือชีววัตถุขั้นสูง
- ยุโรป EU/EMA ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เข้าเกณฑ์ ATMP ไม่ได้มีการดัดแปลงมาก ( substantial manipulation) และใช้ตรงตามหน้าที่เดิม อาจอยู่ภายใต้กฎหมายเซลล์/เนื้อเยื่อทั่วไป ไม่ต้องขออนุญาตการวางขายเต็มรูปแบบ
ประเทศไทย มีแนวคิดที่เสนอ คือ
- ไม่ถือว่ากลุ่มนี้เป็น “ยา” แต่เป็น หัตถการ/บริการทางการแพทย์ ภายใต้ พ.ร.บ.สถานพยาบาล มาตรฐานบริการเซลล์ทางการแพทย์ของ สบส. และ GTP/GCTP ของ อย.
Medium Risk – Class 2 (ความเสี่ยงปานกลาง)
Autologous use (Not gene-edited cells) คือ ใช้เซลล์ของผู้ป่วยเองโดยไม่มีการตัดต่อหรือดัดแปลงยีน
เกณฑ์หลัก
- ใช้เซลล์จากผู้ป่วยเอง (autologous)
- ผ่านกระบวนการ more-than-minimal manipulation เช่น ขยายจำนวน, เปลี่ยน phenotype ด้วย growth factor, co-culture ฯลฯ
- ไม่ดัดแปลงจีโนม (ไม่ gene-edited)
- อาจมีการใช้ในลักษณะ non-homologous คือ ไม่ตรงกับหน้าที่เดิมของเซลล์ เช่น MSCs จากไขกระดูกใช้รักษาข้อเข่าเสื่อม
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์
- MSC culture/expansion จากไขกระดูกหรือไขมันของผู้ป่วยเองเพื่อนำกลับไปใช้รักษาข้อเข่าเสื่อม/โรคอื่น
- Dendritic cell vaccine จาก monocyte ของผู้ป่วยเองที่นำมาคัดแยก/เพาะเลี้ยง/โหลดแอนติเจน
- NK cell expansion/activation จากเลือดผู้ป่วยเองเพื่อรักษามะเร็ง (ไม่มีการตัดต่อยีน)
กรอบกฎหมาย
- ญี่ปุ่น ASRM Class 2 เทคโนโลยีเสี่ยงปานกลาง เช่น การใช้เซลล์ของผู้ป่วยเองที่มีการประมวลผลมากกว่าเล็กน้อย ต้องส่งแผนให้คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูรับรอง (Certified Special Committee for Regenerative Medicine ) และรายงานต่อกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่น แต่ยังไม่ใช่ “ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์” ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายยา ซึ่งต้องยื่นทำการศึกษาทางคลินิกกับมนุษย์ และต้อขออนุมัติอย่างเป็นทางการก่อนวางจำหน่าย
- EU/US ส่วนใหญ่จัดเป็นยา/ชีววัตถุขั้นสูง ถ้าจะทำการตลาด ต้องขึ้นทะเบียน แต่มีช่องทาง Hospital exemption คือ โรงพยาบาลผลิตและใช้การรักษานั้นเอง ภายใต้ความรับผิดชอบของแพทย์และใช้กับผู้ป่วยรายบุคคล ไม่ใช้เชิงพาณิชย์ ไม่โฆษณา และไม่ขายทั่วไป
ประเทศไทย
- กลุ่มนี้จะต้องอยู่ภายใต้ GMP (หรือ GTP+GMP) คือมีการประเมินความปลอดภัย คุณภาพ และประสิทธิผล มีการแจ้ง/อนุญาตบางรูปแบบกับ อย. และสามารถใช้ในลักษณะ “เฉพาะรายในสถานพยาบาล” ก่อนการขึ้นทะเบียนเต็ม หมายถึง ต้องผ่านการรับรองคุณภาพและการกำกับของรัฐและใช้กับโรงพยาบาลบางรายได้แต่ยังขายไม่ได้เป็นวงกว้าง หากจะวางขายต้องขึ้นทะเบียนเป็น ‘ยา’ ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนแบบครบ
High Risk – Class 1 (ความเสี่ยงสูง)
Allogeneic use / Gene-edited (Autologous or Allogeneic) คือ การใช้เซลล์ที่มาจากผู้อื่น หรือใช้ทั้งของผู้ป่วยเองหรือผู้อื่นแต่มีการตัดต่อหรือดัดแปลงพันธุกรรม
เกณฑ์หลัก
- ใช้เซลล์จากผู้อื่น (allogeneic)
- ใช้เซลล์ที่ผ่านการตัดต่อหรือดัดแปลงพันธุกรรม ( gene editing / genetic modification ทั้ง autologous & allogeneic)
- ใช้เทคโนโลยีซับซ้อน เช่น viral vector, genome editing, tissue engineering ซ้อนวัสดุ ฯลฯ
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์
- CAR-T cells และ gene-modified T/NK cells
- Allogeneic MSC products ที่ขยายจำนวนเพื่อใช้กับผู้ป่วยหลายราย
- Embryonic stem cell-derived products หรือ iPSC-derived tissue
- Tissue-engineered products ร่วมกับ scaffolds / 3D-printed structures
กรอบกฎหมาย
- ญี่ปุ่น ASRM Class 1 เทคโนโลยีเสี่ยงสูง เช่น pluripotent stem cells, allogeneic, gene transfer, in vivo gene therapy ต้องผ่านการประเมินเข้มโดย Certified Special Committee และ กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นโดยตรง
- ญี่ปุ่น PMD Act ถ้าจะทำเชิงพาณิชย์ ต้องขึ้นทะเบียนยาเต็มตัว แต่สามารถใช้ conditional/time-limited approval เพื่อเร่งเข้าสู่ตลาดได้ในบางกรณี
- EU จัดเป็น ATMP ที่ต้องได้รับการอนุญาตอย่างเป็นทางการจากรัฐก่อนการวางขายและใช้กับผู้ป่วย( marketing authorisation) รวมถึง gene therapy, somatic cell therapy, tissue-engineered products
- US จัดเป็นยา/ชีววัตถุขั้นสูง ต้องผ่านการวิจัยและกระบวนการควบคุมเต็มรูปแบบ
ประเทศไทย
- ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ต้องผ่านมาตรฐาน GMP เต็มรูปแบบ คือ IND/EC, Clinical trials phase 1–3, Product approval ก่อนที่จะวางขายเหมือนเส้นทางยาเต็มรูปแบบ
ทั้งนี้ เภสัชกรมรกต ยังเปิดเผยว่าปัจจุบันการวิจัยและการพัฒนาในประเทศไทยเกี่ยวกับ ATMP ดำเนินอยู่ในสภาบันการศึกษาชั้นนำ อย่าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นต้น
และภายใต้การรับรู้ของ อ.ย. มีการศึกษาวิจัยทางคลินิกอยู่ทั้งสิ้น 4 การศึกษาวิจัย
ส่วนความสามารถในการผลิต หมายถึง สถานที่ผลิตยาที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตยา ATMP มีอยู่ทั้งหมด 11 แห่งในประเทศไทย ขณะที่ผ่านการรับรอง GMP สำหรับวิจัยแล้ว 2 แห่ง
นอกจากนี้ ยังได้ขึ้นทะเบียนยานำเข้าผลิตภัณฑ์ยีนบำบัดรักษามะเร็งแล้ว 1 รายการ และในอีกไม่เกิน 1 ปีข้างหน้าน่าจะมีการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ยีนบำบัดซึ่งเป็นสัญชาติไทยอีก 1 รายการ.


