posttoday

Sponge City Tourism เมื่อเมืองเลิกสู้กับน้ำ แล้วหันมา “อยู่ร่วมกับมัน”

23 ธันวาคม 2568

จากเมืองที่เคยพ่ายแพ้น้ำท่วม สู่จุดหมายท่องเที่ยวระดับโลก Sponge City พลิกวิกฤตอุทกภัยให้กลายเป็นพื้นที่สีเขียว ประสบการณ์ใหม่ และความยั่งยืนของอนาค

KEY

POINTS

  • แนวคิด "เมืองฟองน้ำ" (Sponge City) คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการต่อสู้กับน้ำด้วยโครงสร้างแข็งทื่อ มาเป็นการปรับตัวและอยู่ร่วมกับธรรมชาติ โดยออกแบบเมืองให้สามารถดูดซับ ชะลอ และกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ แทนการเร่งระบายทิ้ง
  • การจัดการน้ำรูปแบบใหม่นี้ได้พัฒนาต่อยอดไปสู่ "การท่องเที่ยวเชิงรับมือสภาพภูมิอากาศ" (Climate-resilient Tourism) โดยเปลี่ยนพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น หมู่บ้านลอยน้ำในเวียดนาม หรือจัตุรัสน้ำในเนเธอร์แลนด์
  • โมเดลนี้ไม่เพียงช่วยให้เมืองรับมือกับปัญหาน้ำท่วมได้อย่างยั่งยืน แต่ยังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว พร้อมกับเพิ่มพื้นที่สีเขียวและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้คน ทำให้เมืองและธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล

ในวันที่ฝนไม่ได้ตกเพียงตามฤดูกาล แต่กลายเป็นผลลัพธ์ของโลกร้อน เมืองจำนวนมากเริ่มตระหนักว่าการสร้างกำแพงคอนกรีตสูงขึ้นเรื่อย ๆ อาจไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป รายงานของ World Bank และ UN-Habitat ชี้ตรงกันว่า เมืองในศตวรรษที่ 21 ต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ต่อต้านธรรมชาติ” มาเป็น “ผู้ปรับตัวไปกับธรรมชาติ”

 

World Bank ระบุว่า มหานครและเมืองทั่วโลกมีบทบาทสำคัญทั้งในด้านการ mitigate (ลดผลกระทบ) และ adapt (ปรับตัว) ต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และควรนำแนวทางการวางผังเมืองแบบรวมระบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น พื้นที่สีเขียว ระบบน้ำ และเทคโนโลยียั่งยืน มาใช้เพื่อ สร้างเมืองที่ยืดหยุ่นและอยู่ร่วมกับธรรมชาติมากกว่าเมืองที่พึ่งพาเฉพาะโครงสร้างเหล็ก-คอนกรีต

 

UN-Habitat ใน World Cities Report 2024 ระบุว่าเมืองต่าง ๆ ควรผสาน การวางแผนและออกแบบที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การใช้ “nature-based solutions” และการบูรณาการการปรับตัวและลดผลกระทบ พร้อมเน้นให้เมืองเป็น ส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา แทนที่จะเพียงเป็น ผู้ประสบปัญหา

 

และนี่เองคือจุดกำเนิดของแนวคิด "Sponge City" หรือเมืองฟองน้ำที่ถูกออกแบบให้ดูดซับ ชะลอ กักเก็บ และใช้ประโยชน์จากน้ำ แทนที่จะเร่งระบายทิ้งออกไปอย่างไร้ทิศทาง

 

ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ เมืองฟองน้ำจำนวนไม่น้อยไม่ได้หยุดอยู่แค่การจัดการน้ำ แต่กลับพัฒนาไปสู่การเป็น แหล่งท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate-resilient Tourism) ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากนักเดินทางรุ่นใหม่ทั่วโลก

 

Sponge City Tourism เมื่อเมืองเลิกสู้กับน้ำ แล้วหันมา “อยู่ร่วมกับมัน”

 

1. หมู่บ้าน Tân Hoá ประเทศเวียดนาม นวัตกรรมบ้านลอยน้ำสู่รางวัลระดับโลก

หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาและเคยประสบภัยน้ำท่วมรุนแรงถึง 12 เมตร จนชาวบ้านต้องอพยพไปอยู่บนหน้าผา แต่ปัจจุบัน Tân Hoá ได้กลายเป็นต้นแบบของความยั่งยืนด้วยการคิดค้น ‘บ้านลอยน้ำ’ ที่ใช้ถังติดตั้งใต้ตัวบ้านและมีเสาค้ำยันป้องกันการไหลตามกระแสน้ำ เมื่อโมเดลการท่องเที่ยวโดยชุมชนถูกนำเข้ามาใช้ร่วมกับอัตลักษณ์บ้านลอยน้ำและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งภูเขาและถ้ำ ทำให้ที่นี่ได้รับรางวัล "Best Tourism Villages 2023" จาก UN Tourism ชาวบ้านได้เปลี่ยนบทบาทจากผู้ประสบภัยมาเป็นไกด์และเชฟ มอบประสบการณ์โฮมสเตย์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถมาเยือนได้แม้ในยามที่ระดับน้ำขึ้นสูง 

 

Sponge City Tourism เมื่อเมืองเลิกสู้กับน้ำ แล้วหันมา “อยู่ร่วมกับมัน”

 

2. HafenCity ประเทศเยอรมนี การยกระดับเมืองด้วย Warft Model

โครงการพัฒนาเมืองขนาดใหญ่บริเวณท่าเรือเก่าริมแม่น้ำในเมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี ฮัมบูร์กเผชิญกับความท้าทายจากระดับน้ำทะเลหนุนสูง ซึ่งอาจเกิดน้ำท่วมหนักได้ถึงปีละ 2 ครั้ง แทนที่จะสร้างเขื่อนคอนกรีตสูงที่บดบังทัศนียภาพ HafenCity เลือกใช้ “Warft Model” โดยการยกระดับพื้นที่สาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานขึ้นไปสูงถึง 7.5 - 8.5 เมตร โครงสร้างเมืองถูกออกแบบให้มี 2 ระดับ อาคารต่าง ๆ มีระบบประตูหน้าต่างกั้นน้ำและมีทางเข้าออกสำรองในระดับสูง สิ่งนี้ทำให้วิถีชีวิตและการท่องเที่ยวดำเนินไปได้ตามปกติแม้ในช่วงน้ำหนุน ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากถึง 8 ล้านคนในช่วงต้นปี 2025 

 

Sponge City Tourism เมื่อเมืองเลิกสู้กับน้ำ แล้วหันมา “อยู่ร่วมกับมัน”

 

3. Yanweizhou Park ประเทศจีน สวนสาธารณะที่เป็นมิตรกับน้ำ

จากพื้นที่เหมืองเก่าที่น้ำท่วมซ้ำซาก สวนแห่งนี้ได้รับการพลิกโฉมด้วยแนวคิด ‘เป็นมิตรกับน้ำ’ ทางเดิน ศาลาพัก ไปจนถึงลานปลูกต้นไม้ภายในสวนถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถทนทานต่อน้ำท่วมได้ทั้งหมด  ออกแบบโครงสร้างโดยการรื้อกำแพงกั้นน้ำเดิมทิ้งแล้วแทนที่ด้วย “เขื่อนกั้นน้ำแบบขั้นบันไดที่ปลูกพืชพื้นเมือง” เพื่อดักตะกอนและสร้างความอุดมสมบูรณ์ พื้นทางเดินถูกออกแบบให้ระบายน้ำได้เองด้วยวัสดุเหลือใช้ และมีไฮไลท์คือสะพานคนเดินยาวกว่า 700 เมตรที่ได้แรงบันดาลใจจากการเชิดมังกร ซึ่งมีความสูงเพียงพอให้นักท่องเที่ยวเข้าชมสวนได้แม้ในยามน้ำท่วม ด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาดทำให้ได้รับรางวัล Landscape of the Year ในปี 2015 และดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากถึง 40,000 คนต่อวัน 

 

Sponge City Tourism เมื่อเมืองเลิกสู้กับน้ำ แล้วหันมา “อยู่ร่วมกับมัน”

 

4. Enghaveparken ประเทศเดนมาร์ก สวนที่เปลี่ยนน้ำท่วมเป็นน้ำใช้

สวนสาธารณะแห่งนี้คือจุดยุทธศาสตร์รับน้ำฝนจากเชิงเขาที่สามารถรองรับน้ำได้มหาศาลถึง 23,000 ลูกบาศก์เมตร โดยใช้กำแพงเตี้ยและประตูอัตโนมัติที่ทำงานตามแรงโน้มถ่วงเพื่อกักเก็บน้ำ สิ่งที่น่าสนใจคือ น้ำที่กักเก็บไว้จะถูกนำมาหมุนเวียนใช้ประโยชน์ในช่วงฤดูแล้งเช่น รดน้ำต้นไม้และทำความสะอาดถนน ช่วยประหยัดน้ำบาดาลได้หลายล้านลิตร ในเวลาปกติ พื้นที่แห่งนี้จะทำหน้าที่เป็นปอดสีเขียวใจกลางเมืองที่มีทั้งสนามเด็กเล่นและพื้นที่จัดคอนเสิร์ต 

 

Sponge City Tourism เมื่อเมืองเลิกสู้กับน้ำ แล้วหันมา “อยู่ร่วมกับมัน”

 

5. Benthemplein ประเทศเนเธอร์แลนด์: ‘จัตุรัสน้ำ’ แห่งแรกของโลก

เมืองร็อตเตอร์ดัมเป็นเมืองที่มีพื้นผิวทึบและแน่น ทำให้น้ำฝนถูกระบายลงสู่แม่น้ำและท่อระบายน้ำโดยตรง ซึ่งเมื่อฝนตกหนักจะทำให้ระบบระบายน้ำของเมืองไม่เพียงพอและส่งผลให้เกิดน้ำท่วมตามมา จัตุรัส Benthemplein ถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ 3 แอ่ง ที่สามารถรองรับน้ำได้ถึง 1.7 ล้านลิตร เมื่อฝนไม่ตก พื้นที่เหล่านี้จะเป็นสนามบาสเกตบอล ลานสเกตบอร์ด และอัฒจันทร์สำหรับกิจกรรมเยาวชน แต่เมื่อฝนตกหนักน้ำจะถูกลำเลียงผ่านรางสเตนเลสลงสู่แอ่งกักเก็บ การออกแบบนี้เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนและการใช้เฉดสีฟ้าเพื่อแสดงถึงพื้นที่ที่น้ำสามารถท่วมถึงได้ สร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้นให้แก่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาชมการทำงานของระบบจัดการน้ำอย่างใกล้ชิด 

 

บทสรุปและอนาคตของ Sponge City

แนวคิด Sponge City ไม่ได้เป็นเพียงการแก้ปัญหาทางวิศวกรรม แต่คือการสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่ยั่งยืนผ่านการสร้างพื้นที่สีเขียว การปลูกพืชบนหลังคา และการใช้พื้นผิวที่น้ำซึมผ่านได้ [การเปลี่ยนพื้นที่เสี่ยงภัยให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องเมืองจากภัยพิบัติ แต่ยังเป็นการสร้างรายได้และกระตุ้นให้ผู้คนเห็นคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติไปพร้อม ๆ กัน 

 

เปรียบได้ว่าเมืองเหล่านี้ไม่ได้พยายามทำตัวเป็นเขื่อนที่แข็งกร้าวเพื่อเอาชนะธรรมชาติ แต่เลือกที่จะเป็น "ฟองน้ำที่มีชีวิต" ซึ่งยืดหยุ่นและพร้อมที่จะโอบอุ้มน้ำไว้ เพื่อรอวันที่จะปลดปล่อยคุณค่ากลับคืนสู่ชุมชนและนักท่องเที่ยวในรูปแบบของพื้นที่สีเขียวและน้ำใสสะอาดนั่นเอง

 

ที่มา: TAT Academy

ข่าวล่าสุด

CNN ปักหมุดไอคอนสยาม ถ่ายทอดสดเคานต์ดาวน์ไทยสู่สายตาโลก