สับงบแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ! สตง.เผยแก้มา 5 ปีล้มเหลว ไม่คุ้มค่า ไร้ประสิทธิภาพ
สตง. เผยผลตรวจสอบ พบข้อบกพร่องเพียบ ชี้งบประมาณแก้ไขฝุ่น PM 2.5 ตลอด 5 ปี ล้มเหลว ขาดประสิทธิภาพ และไร้ความคุ้มค่า ล่าช้า ไม่เกิดผลเป็นรูปธรรม แก้ปัญหาที่ต้นตอไม่ได้ ขาดข้อมูล แค่แก้ปัญหาหน้างาน และต่างคนต่างทำ
KEY
POINTS
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบการดำเนินงานแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในประเทศไทยระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2562–2567
- การใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่าและไร้ประสิทธิภาพ การดำเนินงานในหลายโครงการไม่บรรลุเป้าหมาย ส่งผลให้การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไม่เกิดความคุ้มค่า และประชาชนยังคงเสี่ยงต่อมลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง
- ปัญหาในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน: การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การลาดตระเวนป้องกันและดับไฟป่า การปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว และการส่งเสริมอาชีพเพื่อลดการเข้าป่า พบว่ามีข้อจำกัดและไม่บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด ทำให้ปัญหาหมอกควันและไฟป่ายังคงมีอยู่
- การจัดการคุณภาพอากาศในกรุงเทพมหานคร การเฝ้าระวังปริมาณมลพิษในอากาศไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ การตรวจวัดคุณภาพอากาศไม่มีความต่อเนื่อง และปริมาณมลพิษบางชนิดยังคงเกินค่ามาตรฐานที่กำหนด
- สตง. ได้แจ้งผลการตรวจสอบและให้ข้อเสนอแนะในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ เพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบด้านสุขภาพอนามัยที่มีต่อประชาชน และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน
นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และโฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน แถลงว่า คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินได้กำหนดนโยบายการตรวจสอบที่ให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสุขภาพของประชาชน
ปัญหาฝุ่น PM 2.5: การจัดสรรงบประมาณที่ไม่เกิดผลสัมฤทธิ์
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) รายงานผลการตรวจสอบมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของรัฐบาลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2562-2567) พบว่าการดำเนินงานขาดประสิทธิภาพและไร้ความคุ้มค่าทางงบประมาณ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานแยกส่วน ขาดการบูรณาการ ส่งผลให้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน แม้จะมีงบประมาณถูกใช้ไปเป็นจำนวนมาก
ปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน
1. โครงการเครือข่ายแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า
- สตง. ตรวจสอบพบว่ามีการสนับสนุนงบประมาณจำนวน 98.40 ล้านบาท เพื่อสร้างเครือข่ายควบคุมไฟป่า 1,142 เครือข่ายในพื้นที่ภาคเหนือ แต่ขาดการติดตามผล ทำให้มาตรการยังไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่
2. ยุทธศาสตร์บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในภาคเหนือ
- โครงการป้องกันและแก้ไขไฟป่า งบประมาณ 47.60 ล้านบาท พบว่าในบางช่วงดำเนินการในฤดูฝน ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ รวมถึงโครงการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ไม่เหมาะสม ทำให้ผลสัมฤทธิ์ต่ำ
3. โครงการแก้ไขไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 ในเชียงใหม่
- งบประมาณ 43.61 ล้านบาท พบว่าฝายต้นน้ำชำรุดถึง 87.34% และไม่มีน้ำเพียงพอสำหรับดับไฟป่า ขณะที่การทำแนวกันไฟล่าช้าทำให้ไฟป่ายังคงเกิดขึ้น
4. โครงการบูรณาการสิ่งแวดล้อมและสาธารณภัย
- งบประมาณ 41.87 ล้านบาท พบว่าแปลงสาธิตปลูกไผ่เพื่อทดแทนพืชที่ก่อให้เกิดหมอกควันถูกไฟไหม้เสียหายถึง 95% ขณะที่อัตรารอดของต้นอะโวคาโดและมะม่วงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
ปัญหา PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร
1. โครงการเฝ้าระวังมลพิษทางอากาศ
- งบประมาณ 435.46 ล้านบาท พบว่าเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศทำงานไม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ข้อมูลที่ได้รับไม่มีความแม่นยำในการวิเคราะห์และวางแผนแก้ไขปัญหา
2. แผนพัฒนากรุงเทพมหานคร 20 ปี
สตง. ตรวจสอบโครงการเฝ้าระวังมลพิษทางอากาศของกรุงเทพมหานครในปีงบประมาณ 2562 พบว่าการดำเนินงาน 5 โครงการ รวมงบประมาณ 435.46 ล้านบาท ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศขาดความต่อเนื่อง ข้อมูลปี 2560-2561 พบว่าฝุ่น PM10, ก๊าซโอโซน และไนโตรเจนไดออกไซด์ต่ำกว่ามาตรฐาน ขณะที่ฝุ่น PM2.5 อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานในปี 2560 แต่มีแนวโน้มแย่ลงในปี 2561 แสดงให้เห็นว่ามาตรการควบคุมมลพิษยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
ปัญหา PM 2.5 ในภาคการเกษตร
1. มาตรการลดการเผาอ้อยเพื่อควบคุม PM 2.5
- แม้มีเป้าหมายลดการเผาอ้อยให้หมดไปภายในปี 2566/2567 แต่กลับพบว่าอ้อยไฟไหม้ยังมีสัดส่วนสูงถึง 29.64% ซึ่งยังห่างไกลจากเป้าหมายที่กำหนด
2. การสนับสนุนเกษตรกรให้เลิกเผาอ้อย
- เกษตรกรที่ได้รับเงินสนับสนุนยังคงเผาอ้อยต่อเนื่อง บางส่วนได้รับสินเชื่อซื้อเครื่องจักรแต่ยังส่งอ้อยไฟไหม้เข้าโรงงาน ขณะที่โรงงานน้ำตาลยังคงรับซื้ออ้อยไฟไหม้ ทำให้มาตรการล้มเหลว
ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา
1. บูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- ต้องมีการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการกำหนดแนวทางแก้ไขที่เป็นรูปธรรม
2. การติดตามผลการดำเนินงานอย่างเข้มงวด
- ควรกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนและมีการตรวจสอบผลการดำเนินงานของโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
3. การใช้เทคโนโลยีในการแก้ไขปัญหา
- นำโดรนและเซ็นเซอร์ตรวจจับคุณภาพอากาศมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมปัญหา
4. การส่งเสริมแนวทางลดการเผาในภาคเกษตร
- ควรมีมาตรการจูงใจให้โรงงานน้ำตาลหยุดรับซื้ออ้อยไฟไหม้ พร้อมสนับสนุนให้เกษตรกรเปลี่ยนแนวทางการผลิต
จากการตรวจสอบของ สตง. พบว่าการดำเนินงานของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ผลเท่าที่ควร ทั้งในภาคเหนือ กรุงเทพมหานคร และภาคการเกษตร เนื่องจากขาดการบูรณาการ ขาดการติดตามผล และขาดการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาแนวทางใหม่ที่สามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน


