


11+












ขบวนรถไฟ “สุดขอบฟ้า” พลิกโฉม รฟท. “รถไฟไทยทำ” พร้อมแข่งสายการบิน
มีอะไรที่ “สุดขอบฟ้า” แตกต่างจากขบวนรถไฟทั่วไป นอกจากการออกแบบและผลิตขึ้นภายในประเทศ และฝีมือคนไทยกว่า 40% ล่าสุดคณะวิจัยฯ ส่งมอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แล้ว พร้อมเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ต่อไป
การทดสอบเดินรถโดยสารต้นแบบ “รถไฟไทยทำ” ขบวนพิเศษ ที่มีชื่อว่า “สุดขอบฟ้า” เพื่อทดสอบสมรรถนะ ตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์และส่วนควบคุมต่างๆ จากสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ไปยังสถานีเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมาเป็นไปอย่างราบรื่น แม้ประชาชนจำนวนมากยังไม่รับทราบและเข้าถึงบริการสุดหรูนี้ได้ในปัจจุบัน
หนึ่งในแนวคิดของโครงการต้นแบบ “รถไฟไทยทำ” คือการพัฒนารถไฟโดยสารแบบ Luxury ที่สามารถแข่งขันกับสายการบินได้ และสามารถนำไปใช้ได้จริงในเชิงพาณิชย์ เพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก
แปลว่าในอนาคตนี่คือโครงการที่จะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์อย่างแน่นอน จากความร่วมมือกันของสถาบันการศึกษาอย่าง ศูนย์วิจัยระบบรางและโครงสร้างพื้นฐาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้รับการสนับสนุนทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาต่อยอดไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์จากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) แผนงานกลุ่มระบบคมนาคมแห่งอนาคต
ล่าสุดหลังการทดสอบวิ่งสำเร็จ คณะวิจัยโครงการฯ ได้ทำการส่งมอบขบวนรถไฟสุดขอบฟ้าขบวนนี้ให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทยแล้ว เพื่อเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์ต่อไป ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่นั้น คงต้องติดตามความเคลื่อนไหวจาก รฟท. กันต่อไป
มีอะไรที่ “สุดขอบฟ้า” แตกต่างจากขบวนรถไฟทั่วไปในประเทศ ข้อมูลจากจาก บพข. และ สจล. ระบุว่า
จุดเด่นของตู้โดยสารรถไฟ “รถไฟสุดขอบฟ้า” เป็นการออกแบบและผลิตขึ้นภายในประเทศ และฝีมือคนไทยกว่า 40% เพื่อเป็นต้นแบบและลดงบประมาณในการนำเข้า ยกระดับการบริการ
ความยาวของห้องโดยสาร 24 เมตร กว้าง 2.80 เมตร มี 25 ที่นั่ง แบ่งเป็น Super Luxury Class 8 ที่นั่ง และ Luxury Class 17 ที่นั่ง
มีความเพียบพร้อมของสิ่งอำนวยความสะดวกเทียบเท่าเครื่องบินชั้นธุรกิจและชั้นเฟิร์สคลาส
สามารถดูอุณหภูมิภายนอกรถ เช็คค่าฝุ่น PM 2.5 รวมไปถึงข้อมูลตำแหน่งการเดินทาง
มีระบบฆ่าเชื้ออัตโนมัติ เซ็นเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิภายในตัวรถ
กดเมนูสั่งอาหารได้ด้วย ซึ่งจะมีพนักงานเสิร์ฟหุ่นยนต์ชื่อว่า “น้องโบกี้” นำอาหารมาส่งถึงที่นั่ง
เพียบพร้อมด้วยระบบรักษาความปลอดภัย ใช้สัญญาณ 5G ได้
มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบหน้าจอ Touchscreen สามารถเข้าใช้ระบบ Infotainment เช่น Youtube, Netflix
ห้องน้ำระบบสุญญากาศและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
โครงสร้างตัวตู้โดยสาร ทางเดิน บันได ฯลฯ สมรรถนะและการใช้งานเป็นไปตามข้อกำหนดของ รฟท.
การออกแบบตู้โดยสารด้วยระบบ Space Frame Modular Concept ทำให้ตัวรถเบาลง แคร่รถไฟทำความเร็วได้ถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยไม่มีเสียงดังรบกวน จังหวะการวิ่ง การเบรก สมดุลภายใต้มาตรฐานยุโรป
สรุปภาพรวมว่าเป็นผลผลิตจากโครงการวิจัยพัฒนารถไฟที่ตอบทุกเป้าหมายได้อย่างคุ้มค่าการลงทุน
“โครงการ “รถไฟไทยทำ” คือการผลิตตู้โดยสารรถไฟสุดหรูหรา ด้วยชื่อเรียกแสนไพเราะ “สุดขอบฟ้า” หรือ Beyond Horizon เป็นการออกแบบที่ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องบินชั้นธุรกิจและชั้นเฟิร์สคลาส ผ่านการวิจัย พัฒนา และ ผลิตโดยคนไทย 100%”
เป็นรถไฟโดยสารต้นแบบคันแรกของประเทศไทย ในโครงการวิจัย “รถไฟไทยทำ” ตามนโยบายกระทรวงคมนาคม “ไทยเฟิร์ส” และได้รับการสนับสนุนทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาต่อยอดไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์จากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) แผนงานกลุ่มระบบคมนาคมแห่งอนาคต เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ร่วมกับ กิจการร่วมค้า ไซโนเจน-ปิ่นเพชร จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมโครงการนี้
ขณะที่หน่วยงานวิจัยคือ ศูนย์วิจัยระบบรางและโครงสร้างพื้นฐาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) หลังจากพัฒนาเสร็จแล้วจะส่งรถโดยสารต้นแบบให้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) นำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ โดยมีเป้าหมายร่วมกันผลักดัน ให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิตรถขนส่งทางรางด้วยหลักคิด “การพึ่งพาตนเอง”
เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2567 มีการทดสอบเดินรถโดยสารต้นแบบ “รถไฟไทยทำ” ขบวนพิเศษ ที่มีชื่อว่า “สุดขอบฟ้า” เพื่อทดสอบสมรรถนะ ตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์และส่วนควบคุมต่างๆ จากสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ไปยังสถานีเชียงใหม่
หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการผลิตตู้รถไฟโดยสาร “สุดขอบฟ้า”
คือการสนับสนุนให้ใช้วัตถุดิบในประเทศไทย โดยมีเป้าหมาย Local Content ตั้งไว้ 40% ตามนโยบายกระทรวงคมนาคม ที่กำหนดว่าต้องไม่น้อยกว่า 40% แต่รถไฟโดยสารสุดขอบฟ้าสามารถทำได้ 44.1%
นอกจากนี้ หากพิจารณาเฉพาะตู้รถไฟและส่วนประกอบ ไม่รวมแคร่จะมี Local Content สูงถึง 76% จากชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกว่า 300 ชิ้น ส่วนที่เหลืออีก 56% เป็นชิ้นส่วนที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ไม่มีผู้ประกอบการที่สามารถผลิตได้ในประเทศ จึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ แคร่รถไฟ ซึ่งต้องเป็นไปตามข้อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ห้องน้ำระบบสุญญากาศ เป็นต้น
โครงการนี้สามารถสร้างผู้ประกอบการในห่วงโซ่การผลิต Supply Chain ที่มีความพร้อมด้วย R&D + Tech Localization มากกว่า 10 ราย
เบื้องต้นจากการประเมินค่าใช้จ่ายในการพัฒนารถไฟโดยสารต้นแบบ พบว่ามีราคาถูกกว่าการนำเข้าไม่น้อยกว่า 30% ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อ รฟท. และประเทศชาติ
นอกจากนี้ยังสามารถสร้างทรัพย์สินทางปัญญาในรูปแบบสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรจำนวน 7 ผลงานจากเป้าหมาย 2 ผลงาน
สามารถขับเคลื่อนความพร้อมของเทคโนโลยีสู่ TRL9 ผ่านการใช้งานและการทดสอบ ตามมาตรฐานระดับสากล
มีการประเมินกันว่า รถไฟไทยทำ จะพลิกโฉม รฟท. สร้างภาพลักษณ์ใหม่แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะ “สุดขอบฟ้า” เป็นโบกี้รถไฟที่ผลิตขึ้นจากงานวิจัยและพัฒนา
จุดเริ่มต้นของโครงการนี้เกิดจาก กิจการร่วมค้า ไซโนเจน-ปิ่นเพชร เสนอโครงการขอรับทุนวิจัยเข้ามาที่ บพข. ซึ่ง บพข. มีเงื่อนไขว่างานที่ขอรับทุนวิจัย ต้องพัฒนามาจนถึงระดับ TRL4 ต้องมีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานวิจัย เป็นส่วนหนึ่งในทีม
ซึ่งโครงการนี้มีนักวิจัยคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง (สจล.) ร่วมพัฒนา ต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรองที่เข้มงวดของ บพข. ว่างานวิจัยครั้งนี้จะนำไปใช้ได้จริงในเชิงพาณิชย์ เพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ บพข. มั่นใจโครงการนี้ก็คือ ทีมงานผู้ผลิตได้ไปเจรจากับ รฟท. ซึ่งเป็นผู้ใช้ในอนาคตว่าอยากได้ตู้โดยสารรถไฟแบบไหน แล้วออกแบบให้ตรงกับความต้องการของ รฟท. เพื่อไม่ให้งานต้นแบบชิ้นนี้ทำออกมาแล้วสูญเปล่า
หนึ่งในแนวคิดของโครงการต้นแบบ “รถไฟไทยทำ” คือการพัฒนารถไฟโดยสารแบบ Luxury ที่สามารถแข่งขันกับสายการบินได้ เพื่อดึงให้ผู้ใช้รถยนต์ส่วนตัวหันมาใช้บริการ ทั้งการเดินทาง การท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้ให้กับ รฟท. เมื่อ รฟท. มีรายได้ก็สามารถนำรายได้นั้นไปพัฒนารถไฟชั้น 3 หรือตู้โดยสารแบบอื่นๆ มาให้บริการประชาชนได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนได้อีกด้วย
โดยมีการวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่จะได้ว่า ถ้าเปลี่ยนคน 25 คนจากการใช้รถยนต์ส่วนตัว มานั่งรถไฟขบวนนี้ จะตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงาน เมื่อเทียบกับการใช้รถยนต์ส่วนตัวหรือเครื่องบินได้ถึง 8 เท่าในระยะทางและน้ำหนักเท่ากัน
รถไฟไทยทำ “สุดขอบฟ้า” ได้ผ่านการทดสอบด้านมาตรฐานการบริการและความปลอดภัย ด้วยการวิ่งระยะทางไกล “กรุงเทพอภิวัฒน์-เชียงใหม่” เป็นอันดับแรก และจะมีการทดสอบกับหัวรถจักรของ รฟท. อย่างต่อเนื่อง เพื่อดูความสอดคล้องกับตู้ขบวนอื่นที่ รฟท. ใช้อยู่ในปัจจุบัน เมื่อผ่านกระบวนการทดสอบครบทุกขั้นตอนแล้ว จะเข้าสู่ระเบียบการจัดซื้อ-จัดจ้าง เพื่อให้บริการในเชิงพาณิชย์ภายในเร็ววันนี้



11+














