posttoday

AREA เสนอรัฐเก็บภาษี “บ้านว่าง” สกัดการเก็งกำไร

05 มิถุนายน 2566

ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย ชี้มีจำนวนบ้านว่าง หรือไม่มีผู้อยู่อาศัยทั่วประเทศ 1.3 ล้านหน่วย แนะรัฐเก็บภาษีกระตุ้นเจ้าของนำทรัพย์สินมาใช้สอย หรือ จำหน่าย หวังเพิ่มปริมาณอุปทานในตลาด สกัดการเก็งกำไร

นายโสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด(AREA)  เปิดเผยว่า  ในปี 65 มีบ้านว่าง ซึ่งเป็นบ้านที่สร้างเสร็จ แต่ไม่มีคนอยู่อาศัย ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลรวมกันถึง 617,923 หน่วย  ซึ่งถูกซื้อไปแล้วเกือบทั้งหมด แบ่งเป็นห้องชุดที่ว่างอยู่จำนวน 300,000 หน่วย และห้องชุดในกรุงเทพมีอัตราว่างสูงถึง 20-25% ขณะที่ตลาดปล่อยเช่าก็ไม่ค่อยได้และขายยากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม บ้านว่างมีสัดส่วนถึง 13.3% จากบ้านทั้งหมดมีอยู่ 4,654,370 หน่วย  และถ้าดูตัวเลขทั่วประเทศพบว่าบ้านว่างมีจำนวน 1,309,551 หน่วย จากที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจำนวน 27,708,635 หน่วย หรือประมาณ 4.7% หากปีหนึ่งมีเปิดตัวโครงการใหม่ทั่วประเทศ 200,000 หน่วย เท่ากับว่าแทบไม่ต้องเปิดโครงการใหม่ถึง 6 ปี  

 

สำหรับการแก้ไขปัญหาบ้านว่างควรประเมินค่าทรัพย์สินบ้านเหล่านี้ตามสภาพในราคาตลาด เช่น หากเฉลี่ยหน่วยละ 2 ล้านบาท ก็เก็บภาษีปีละ 2% หรือ 40,000 บาท  เพื่อกระตุ้นให้เจ้าของมาใช้สอย หรือขายเพื่อเพิ่มอุปทานในตลาดให้แก่ผู้สนใจซื้อ เมื่อมีอุปทานเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ราคาบ้านก็จะไม่สูงจนเกินไป  ประชาชนก็จะไม่ได้ผลกระทบในการซื้อบ้าน

 

นอกจากนี้เห็นว่าหากบ้านหลังใดไม่ได้มีการเคลื่อนไหวและไม่ได้เสียภาษีมานานถึง 3 ปี หากไม่สามารถหาเจ้าของได้ รัฐควรนำบ้านมาประมูลขาย นำเงินมาเสียภาษีที่ติดค้างไว้  เมื่อขายแล้วนำเงินไปฝากที่สถาบันการเงิน เพื่อให้เจ้าของ (ถ้ามี) มารับในภายหลัง  จะปล่อยให้มีการเก็บทรัพย์ไว้เก็งกำไรโดยไม่เสียภาษีไม่ได้


นายวิชัย  วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่า ที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลในปีนี้มีจำนวน 98,132 หน่วย ลดลง -10.5% มูลค่าอยู่ที่  505,235 ล้านบาท ลดลง -8.2% เมื่อเทียบกับปี 65 ซึ่งมีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ 109,591 หน่วย มูลค่า 550,552 ล้านบาท

 

ขณะที่หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศ มีจำนวน 352,761 หน่วย ลดลง -10.2% มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 1,016,838 ล้านบาท ลดลง -4.5% แบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน   264,571  หน่วย ลดลง -7.4% มูลค่า 753,628 ล้านบาท ลดลง -2.9% และที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดมีหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน  88,190  หน่วย ลดลง -17.7% มูลค่า 263,210 ล้านบาท ลดลง -8.8%