ภาคเอกชน ผิดหวัง ของขวัญ "ลดค่าโอน-ค่าจดจำนอง” จากรัฐ

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ กรรมการและเลขานุการผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวถึง กรณี คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ด้วยการ ลดค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 1% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ จากเดิม 1% เหลือ 0.01% กับ โพสต์ ทูเดย์ ว่า การลดค่าการโอน และค่าจดจำนองในรอบนี้ เป็นการปรับลดที่ค่อนข้างน้อย โดยเป็นอัตราที่แตกต่างกันมากเมื่อเทียบกับการปรับลดในรอบก่อน 

ทั้งนี้ หากคำนวณแล้วถือว่า เป็นภาระของผู้ต้องการซื้อ และต้องการโอน เพิ่มขึ้น 100 เท่า และ เป็นภาระของผู้ต้องการจดจำนองเพิ่มขึ้น จากส่วนลดที่น้อยลง ดังนี้ 

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า การลดค่าโอน และจดทะเบียนการจำนองที่น้อยลงจากเดิม อาจเป็นเหตุผลด้านการคลัง โดยภาครัฐ มองว่า ภาคอสังหาฯ ในขณะนี้กลับมาฟื้นตัวแล้ว เมื่อเทียบกับช่วงสถานการณ์โควิด-19 และมีแรงส่งเพียงพอที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัว และกลับมาฟื้นตัวได้แล้ว

นายวิชัย ยังกล่าวด้วยว่า นอกจากการลดค่าจดทะเบียนการโอน และค่าจดจำนองที่ค่อยข้างน้อย ที่จะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวของภาคอสังหาฯในระยะข้างหน้าแล้ว การไม่ต่ออายุ การผ่านคลายมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2565 จะเป็นอีกปัจจัยเสี่ยง ที่ฉุดรั้งให้ตลาดอสังหาฯในปี 2566 ไม่เติบโตได้เท่าที่ควรเป็น

สอดคล้องกับ นายวสันต์ เคียงศิริ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระบุว่า รู้สึกตกใจ และผิดหวังกับมาตรการของรัฐที่ออกมา เพราะเข้าใจว่า ภาครัฐน่าจะขยายมาตรการลดค่าโอน และค่าจดจำนอง ไว้ที่ระดับเดิม คือ ที่ 0.01% ออกไปอีก 1 ปี รวมทั้งขยายฐานมูลค่าทรัพย์สินจาก 3 ล้านบาท เพิ่มเป็น 3.5 ล้านบาท หรือ ให้ลดค่าธรรมเนียมใน 3 ล้านบาทแรก ตามที่สมาคมฯได้เสนอไปก่อนหน้า 

ทั้งนี้ มองว่า แม้รัฐจะลดค่าเนียมการโอนจาก 2% เหลือเพียง 1% แต่ยังเป็นอัตราที่เป็นภาระกับผู้ซื้ออยู่ดี เพราะราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ ที่จะเริ่มใช้ปีหน้าจะทำให้มูลค่าที่ดินปรับขึ้นเฉลี่ย 8 - 10% ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าโอนที่อยู่อาศัยให้เพิ่มขึ้นตามไปอีก