บ้านสารพัดความหมาย ของ สุวิทย์ เอื้อศักดิ์ชัย
เมื่อแรกรู้จักแม็ท-สุวิทย์ เอื้อศักดิ์ชัยเป็นคนชนิดที่เรียกได้ว่า "แม็กไกเวอร์"
เมื่อแรกรู้จักแม็ท-สุวิทย์ เอื้อศักดิ์ชัยเป็นคนชนิดที่เรียกได้ว่า "แม็กไกเวอร์" คือทำสารพัดสารเพเรื่องราวและทุกอย่างที่ทำก็ออกมาดีหมดเช่น เป็นเจ้าของบริษัทรับสร้างแบรนด์อย่างเดอะแบรนด์ แมตเตอร์ แบงค็อก (THE BRAND MATTERS BANGKOK) เจ้าของร้านอาหารสวีท เบอร์กันดี นักเขียน นักโฆษณา นักร้อง เชฟที่ทำขนมและอาหารสุดแนว นักดื่มชาและอื่นๆอีกมากมายเกินกล่าวถึง แม้ทำหลายอย่าง แต่เขาเองก็มุ่งมั่นทำให้ดีในทุกสิ่งที่หยิบจับ รวมไปถึงการแต่งบ้านก็ทำออกมาได้ดีไม่แพ้กัน
ถึงแม้ตัวเขาเองไม่ได้เป็นสถาปนิก หรืออินทีเรียร์ดีไซเนอร์ แต่ด้วยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการตกแต่งเป็นทุนทั้งยังศึกษาอย่างจริงจัง ทำให้บ้านหลังนี้ออกมาสวยอย่างที่ใจต้องการ โดยบ้านกึ่งออฟฟิศของเขาถูกต่อเติมขึ้นมาใหม่จากสระน้ำข้างบ้านรกร้าง ซึ่งมีพื้นที่เป็นสวนแนวตั้งขนาด 100 ตารางเมตร โดยเจ้าตัวเองได้ออกแบบให้เป็นบ้านสองชั้น โดยชั้นล่างแยกเป็นโถงใหญ่ไว้รับแขก ส่วนชั้นบนก็จะเป็นห้องนอนกับห้องแต่งตัวและห้องพระ
เมื่อเดินเข้าบ้านจะเห็นว่า แม็ท สุวิทย์ ต้องการโชว์ความดิบของกำแพงด้วยอิฐสีซีด ด้วยการปูอิฐผนังให้แตกต่างเน้นโชว์สีสันแทนที่จะโชว์อิฐก้อน ซึ่งเจ้าความคิดบอกว่าตั้งใจให้เห็นเป็นสัจธรรม ไม่ใช่ก่ออิฐไว้ให้สวยเป็นแฟชั่น ถัดมาหน่อยกลางห้องโถง จะเห็นโคมไฟระย้าแชนเดอเลียร์ขนาดใหญ่ที่ใช้ต้นไม้ปลอมมาประดับดูแปลกตา แต่ให้ความรู้สึกได้ถึงความร่มรื่นเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ในบ้านต่างๆ ตามปกติ
แต่เน้นให้คละดีไซน์เพื่อนำมาจัดวางแม้ทุกอย่างจะดูขัดแย้งกันหมด แต่กลับดูลงตัว
"แม็ทอินสไตล์" คือนิยามการตกแต่งของเจ้าของบ้านซึ่งชัดเจนในนิยามที่ว่า ดีไซน์ไม่มีถูกไม่มีผิดเพียงแต่ว่าเข้ากันได้หรือเปล่า โดยบ้านหลังงามของเขายิ่งดูยิ่งบ่งบอกตัวตนได้อย่างดีทั้งมิได้จำกัดความอยู่แค่ว่าเป็นบ้านไว้พักหัวใจธรรมดาๆ แต่กินความหมายไปไกลกว่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวคิดรสนิยม และอุดมคติของการออกแบบให้เข้ากับการใช้ชีวิต ด้วยการนิยามคำว่าบ้านให้เปรียบเสมือนเป็นสถานที่ทำงาน
"การที่เราอยู่ในพื้นที่ของตัวเองมันทำให้ทุกอย่างเป็นตัวเรามากขึ้น พอเป็นตัวเรามากขึ้นมันก็สะท้อนถึงแนวคิด สะท้อนถึงบุคลิกของเรามันทำให้งานที่เราทำไม่ต้องบรรยายเยอะ ลูกค้าสมัยนี้แน่นอนเขาก็อยากเข้ามาเห็นออฟฟิศของบริษัท ฉะนั้นเมื่อเขาเข้ามาเห็นมันก็เหมือนเป็นอะไรที่มีตัวตนและเป็นคำตอบให้โดยที่บอกไปในตัวว่า
"เรามีวิธีคิดแบบไหน เรามีรสนิยมแบบไหนทำให้เหมือนเราก้าวไปก่อนลูกค้าเสมอ นำหน้าเขาอยู่ตลอด แล้วข้อดีอีกอย่างคือเราสามารถพักหรือทำงานตรงไหนก็ได้ ไม่ต้องทนเบื่อหน่ายกับการนั่งจมกับโต๊ะทำงานทุกวัน แล้วมันทำให้สามารถคิดงานใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา" ชายหนุ่มผู้ละเอียดลออกับการใช้ชีวิตได้กล่าวถึงบ้านที่เสมือนเป็นที่ทำงานให้ฟัง
สำหรับเขาบ้านคือทุกสิ่งในชีวิตจริงๆ ในหนึ่งวัน แม็ท สุวิทย์ เองแทบไม่ต้องออกไปไหนหากไม่มีธุระจริงๆ ก็จะทำงานอยู่แต่ในบ้านอยากพักก็ชงชาดื่มก่อนนั่งครุ่นคิดสิ่งที่จะทำหากหิวข้าวก็เดินเข้าครัวทำอาหารให้น้องๆ ในบริษัทรับประทานพร้อมกับประชุมงานไปในทีเรียกได้ว่าบ้านของเขาใช้ทำสารพัดอย่างจริงๆทั้งยังเป็นบ้านที่เจ้าตัวบอกว่าอยู่เช่นไรก็ไม่เบื่อเพราะมักจะเปลี่ยนแปลงนู่นนี่นั่นอยู่ตลอดเวลาซึ่งแขกที่มาบ้านก็มักจะมึนงงเสมอและนึกเอาเองว่าบ้านของเขาสวยไม่เสร็จเสียที เจ้าตัวเล่าถึงเรื่องนี้แล้วยิ้มก่อนจะพูดอะไรบางอย่างถึงบ้านหลังงามนี้
"คือจริงๆ แล้ว คำว่าบ้านสำหรับเรา คือการที่เราได้สร้างสิ่งที่ชอบที่สุดเพื่อจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกับมัน แล้วในนั้นเราจะต้องนำทุกอย่างที่เป็นตัวเรามาใส่มาประกอบ ซึ่งก็ไม่จำเป็นว่าสิ่งที่เราทำจะถูกหรือผิด คือไอ้ความสวยมันมองไม่เหมือนกันแค่ทำแล้วเราถูกใจ อยู่แล้วมีความสุขก็พอ เท่านี้แหละคำว่าบ้าน"


