เมื่อน้ำยาทำความสะอาดเสี่ยงทำให้เราเป็นพาร์กินสัน
พาร์กินสัน ถือเป็นหนึ่งในโรคทางสมองและระบบประสาทร้ายแรง สามารถสร้างผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและอาจนำไปสู่การเสียชีวิต นี่จึงเป็นโรคที่ไม่มีใครอยากเป็น แต่ล่าสุดมีผลการวิจัยพบว่า น้ำยาทำความสะอาดก็เสี่ยงทำให้เราเป็นพาร์กินสันได้เช่นกัน
เชื่อว่าหลายท่านย่อมรู้จัก โรคพาร์กินสัน กันมาบ้าง หนึ่งในอาการทางสมองที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์สมอง ทำให้ระบบควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายบกพร่องนำไปสู่อาการสั่นอย่างรุนแรง รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันจนอาจทำให้เกิดการเสียชีวิต เป็นโรคที่สามารถพบได้ในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป แต่ในบางครั้งก็สามารถเกิดขึ้นกับคนอายุน้อยได้เช่นกัน
ผลการวิจัยล่าสุดกลับพบว่าสาเหตุการเกิดโรคพาร์กินสันนี้ อาจไม่ได้เกิดจากการเสื่อมของเซลล์สมองเพียงอย่างเดียว แต่เชื่อมโยงกับข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันบางชนิด ตั้งแต่น้ำยาลบคำผิด, ตัวทำละลายในกาว, เรซิ่น หรือน้ำยาทำความสะอาดผลิตภัณฑ์ต่างๆ
หรืออันที่จริงต้องบอกว่าต้นตอความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาจากสารที่ถูกเรียกว่า ไตรคลอโรเอทิลีน
ไตรคลอโรเอทิลีน สารอเนกประสงค์ที่ถูกใช้งานหลากหลายรูปแบบ
Trichloroethylene หรือ ไตรคลอโรเอทิลีน เป็นสารประกอบทางเคมีซึ่งมักถูกใช้งานในรูปแบบของเหลว มีคุณสมบัติใส ไร้สี ไม่ติดไฟ แห้งเร็ว ระเหยภายในอากาศได้ดี มีกลิ่นหอมหวานคล้ายคอลโรฟอร์ม ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งในฐานะตัวทำละลายทางอุตสาหกรรม
ไตรคลอโรเอทิลีนถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1864 และเริ่มมีการผลิตเพื่อใช้ในเชิงอุตสาหกรรมตั้งแต่ปี 1920 เป็นต้นมา ถูกใช้งานในการสกัดวัสดุอินทรีย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในการทำความสะอาดคราบไขมันเกาะติดรูปแบบต่างๆ จึงถูกนำไปผลิตเป็นน้ำยาทำความสะอาด รวมถึงถูกใช้เป็นยาสลบยอดนิยมสำหรับการคลอดบุตรอีกด้วย
สารประกอบชนิดนี้ถูกนำมาใช้งานเป็นตัวทำละลายเพื่อสกัดสารเคมี ทั้งในเชิงอุตสาหกรรมและเภสัชกรรมต่างๆ ด้วยคุณสมบัตินี้จึงได้รับความนิยมในการใช้เป็นส่วนผสมของน้ำยาขจัดคราบจากสิ่งทอ น้ำยาขจัดคราบตามเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงน้ำยาทำความสะอาดโลหะนานาชนิด ตั้งแต่เครื่องมือเครื่องใช้ในครัวเรือนไปจนเครื่องยนต์จรวด
นอกจากนี้ไตรคลอโรเอทิลีนยังนับเป็นส่วนผสมสำคัญในสารเคมีหลายชนิด ทั้งการเป็นตัวทำละลายในกาว, สารหล่อลื่น, สี, ยาฆ่าแมลง, น้ำยาลอกสี, ขี้ผึ้ง, เรซิ่น, เซลลูโลส, สเปรย์เคลือบ ฯลฯ อีกทั้งยังมีการนำไปใช้งานในฐานะสารทำความเย็นภายในระบบอุตสาหกรรมและโรงงานอีกด้วย
ปัจจุบันเราก็สามารถค้นพบสารชนิดนี้ได้ตามน้ำยาเคมีภัณฑ์หลากหลายชนิดแต่ใช่จะไม่มีข้อเสีย มีรายงานว่าไตรคลอโรเอทิลีนสามารถทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ความผิดปกติต่อระบบประสาท ไปจนเป็นสารก่อมะเร็ง รวมถึงการปนเปื้อนสู่สภาพแวดล้อม กระนั้นข้อมูลเหล่านี้บางส่วนยังคงเกิดข้อโต้แย้งถกเถียงมาจนปัจจุบัน
แต่ล่าสุดมีการยืนยันข้อมูลเพิ่มเติมว่าไตรคลอโรเอทิลีนอาจมีการเชื่อมโยงร่วมกับอาการพาร์กินสัน
เมื่อไตรคลอโรเอทิลีนเพิ่มความเสี่ยงของโรคพาร์กินสัน
การค้นพบนี้เกิดขึ้นจากทีมวิจัยของประเทศสหรัฐฯ ภายหลังการเกิดข้อโต้แย้งมากมายในการใช้งานไตรคลอโรเอทิลีน ที่แม้สั่งระงับการใช้งานในฐานะยาสลบทางการแพทย์ รวมถึงบางพื้นที่สั่งงดการใช้สารชนิดนี้แล้วก็ตาม แต่ยังคงมีข้อถกเถียงจำนวนมากเกี่ยวกับผลกระทบทางสุขภาพที่เกิดจากสารชนิดนี้ โดยเฉพาะการเป็นสารก่อมะเร็งที่ถูกโต้แย้งว่าไม่เป็นความจริง
ข้อโต้แย้งเหล่านี้ได้รับการโต้เถียงและนำเสนอมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา จากความนิยมในการใช้งานทั้งด้านการทหาร การแพทย์ ไปจนครัวเรือน นำไปสู่การเก็บข้อมูลของกลุ่มบุคลากรและประชาชนที่ได้รับสารนี้เป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง เป็นการวบรวมข้อมูลระยะเวลากว่าห้าทศวรรษเพื่อยืนยันผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
ผลการศึกษาพบว่าไตรคลอโรเอทิลีนมีคุณสมบัติในการทำลายไมโทคอนเดรียและเซลล์สมองภายในร่างกาย ส่วนนี้สร้างผลกระทบเป็นอย่างมากต่อสุขภาพตามผลการวิจัยที่มีอยู่ในอดีต แต่ส่วนที่พวกเขาคาดไม่ถึงคือ สารชนิดนี้มีคุณสมบัติทำให้โดพามีนภายในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุสำคัญในการก่อโรคพาร์กินสัน
การปนเปื้อนของไตรคลอโรเอทิลีนสามารถพบได้ภายในฐานทัพนาวิกโยธินซึ่งมีการใช้สารชนิดนี้เป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารชนิดนี้กระจายไปในน้ำและอากาศ อัตราความเข้มข้นของการปนเปื้อนทำให้ประชากรภายในพื้นที่จำนวนมากที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ได้รับสารเคมีกลุ่มนี้สูงกว่าระดับปลอดภัยถึง 280 เท่า
นั่นทำให้กองกำลังรักษาดินแดนทางอากาศในรัฐจอร์เจียมีบุคลากรจำนวนมากได้รับผลกระทบทางสุขภาพ หลายคนเกิดอาการของโรคพาร์กินสันก่อนวัยอันควร เปรียบเทียบกับในพื้นที่อื่นความเสี่ยงในการเกิดพาร์กินสันก่อนวัยมีมากกว่าถึง 5 เท่า อีกทั้งผลกระทบนี้ยังสามารถแพร่กระจายสู่สภาพแวดล้อมได้ง่าย ผ่านทางแหล่งน้ำธรรมชาติหรืออากาศที่หายใจ
อีกทั้งทีมวิจัยยังเชื่อว่าไตรคลอโรเอทิลีนไม่ได้มีส่วนเชื่อมโยงในการก่อโรคพาร์กินสันเพียงอย่างเดียว
นี่เป็นเหตุผลให้ในสหรัฐฯเริ่มมีความตื่นตัวเฝ้าระวังต่อสารชนิดนี้มากขึ้น เริ่มมีการสั่งห้ามใช้งานในบางพื้นที่ เช่น นิวยอร์ก และ มินิโซต้า แต่น่าเสียดายที่ในประเทศไทยยังคงไม่ตระหนักถึงอันตรายที่มีต่อสารชนิดนี้ เราจึงอาจทำได้เพียงระมัดระวังไม่เข้าใกล้พื้นที่ปนเปื้อนและใช้งานสารชนิดนี้อย่างระมัดระวังเท่านั้น
ที่เหลือคงต้องคาดหวังว่าจะมีการหยิบสารชนิดนี้มาพูดถึงและประเมินในฐานะสารอันตรายในสักวัน
ที่มา
https://interestingengineering.com/health/dry-cleaning-chemical-parkinsons-disease
https://content.iospress.com/articles/journal-of-parkinsons-disease/jpd225047
https://www.posttoday.com/innovation/1448