GISTDA เปิดตัว “Marine GI” แพลตฟอร์มบริหารทะเลไทย
สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA เปิดตัว Marine GI Portal Platform เพื่อเป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการพื้นที่ทะเลและชายฝั่งของประเทศไทย
ประเทศไทยมีอาณาเขตทางทะเล ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 กว่า 3.5 แสนตารางกิโลเมตร โดยมีความยาวทางชายฝั่งทะเลรวมฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามันครอบคลุมพื้นที่ 23 จังหวัด มีผู้ใช้ประโยชน์จากทะเลจำนวนมาก จากการประเมินมูลค่าผลประโยชน์ทางทะเล ในปี 2557 มีมูลค่า 24 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่มีมูลค่า 7.5 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ยังมีผลประโยชน์ที่ไม่สามารถประเมินออกมาเป็นรูปตัวเงินอีกมหาศาล แต่การบริหารจัดการพื้นที่และการใช้ประโยชน์ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาต่างๆกระจายอยู่ในหลายหน่วยงาน จึงไม่มีความเป็นเอกภาพ
ในงานสัมมนาเชิงวิชาการในหัวข้อ “Marine GI Portal Based On A Holistic Approach เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศกับการวางแผนเชิงพื้นที่ทางทะเลตามแนวทางการจัดการแบบองค์รวม” สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA ได้เปิดตัว Marine GI Portal Platform ที่จะใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการพื้นที่ด้านทะเลและชายฝั่งของประเทศไทย
สยาม ลววิโรจน์วงศ์ ผู้อำนวยการสำนักประยุกต์และบริหารภูมิสารสนเทศ GISTDA กล่าวว่า ทะเลและชายฝั่งในปัจจุบันกำลังประสบปัญหาด้านความอุดมสมบูรณ์และคุณภาพของทรัพยากรและสภาพของแวดล้อมอย่างมาก จากการพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็ว การเติบโตของแหล่งท่องเที่ยว การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม อีกทั้งยังขาดเครื่องมือในการบริหารจัดการและบูรณาการร่วมกันอย่างเป็นระบบ ด้วยเหตุนี้ GISTDA จึงพัฒนา “แพลตฟอร์มภูมิสารสนเทศช่วยบริหารจัดการทะเลและชายฝั่งของไทย” หรือ Marine GI Portal Platform ในรูปแบบโอเพ่นแพลตฟอร์ม เพื่อให้เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวข้อง โดยเป็นการนำข้อมูลภูมิสารสนเทศเข้ามาช่วยสนับสนุนให้เกิดการวางแผนเชิงพื้นที่ทางทะเลโดยเฉพาะ ทั้งการจัดหา รวบรวม วิเคราะห์และจัดทำคลังข้อมูลด้านทรัพยากรด้านทะเลและชายฝั่ง รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง ภายใต้ความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมประมง กรมควบคุมมลพิษ กรมเจ้าท่า ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคการศึกษา เป็นต้น
โดยระบบดังกล่าวประกอบด้วยเครื่องมือสำคัญในการทำงาน ประกอบด้วย
1.คลังข้อมูลภูมิสารสนเทศทางทะเลและชายฝั่ง
2.เครื่องมือการวิเคราะห์ความขัดแย้งการใช้ประโยชน์เชิงพื้นที่ทางทะเล
3.เครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูลสถานภาพป่าชายเลนแบบอัตโนมัติ
4.เครื่องมือวิเคราะห์การรั่วไหลของคราบน้ำมันในทะเล
ซึ่งการเข้าใช้งานของแพลตฟอร์มจะมีอัลกอรึธึมที่ง่าย สะดวก สามารถบอกข้อมูลเป็นอินโฟกราฟิกที่ชัดเจน มีฐานข้อมูล และสามารถนำเข้าไฟล์ทั้งเอกสาร แผนที่ บทความ จากแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อเปรียบเทียบ เช่น ข้อมูลจากสถานีเรดาร์ชายฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน 24 สถานี ข้อมูลคุณภาพน้ำจากภาพถ่ายดาวเทียม ทำให้ผู้ใช้ระบบสามารถทราบข้อมูลได้อย่างละเอียด ทั้งยังอัปเดตข้อมูลได้แบบเรียลไทม์
ทั้งนี้ Marine GI Portal สามารถนำไปใช้งานในหลายด้าน เช่น เบื้องต้นใช้ในงานสำรวจอนุรักษ์ เช่น วาฬและโลมา จ.สุราษฎร์ธานี พบว่ามีอยู่ทั้งหมด 145 จุดของทะเลฝั่งอ่าวไทย วาฬที่พบมากที่สุดคือ วาฬบูรด้า และโลมาหลังโหนก ซึ่งการมีอยู่ประชากรวาฬสามารถบอกได้ว่า ทะเลในย่านนั้นมีความอุดมสมบูรณ์หรือไม่
นอกจากนี้ก็ได้นำเครื่องมือวิเคราะห์การรั่วไหลของคราบน้ำมันในทะเล หรือ GNOME โดยบูรณาการร่วมกับ Remote Sensing หรือ “การรับรู้จากระยะไกล” เป็นการได้มาซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุ พื้นที่ และปรากฏการณ์บนพื้นโลกจากเครื่องรับรู้ (Sensor) โดยปราศจากการเข้าไปสัมผัสวัตถุเป้าหมาย ทำให้ทราบถึงแนวโน้มเส้นทางการเคลื่อนตัว หรือการแปรสภาพของคราบน้ำมัน
โดย วัชระ เกษเดช นักภูมิสารสนเทศชำนาญการ สำนักประยุกต์และบริหารภูมิสารสนเทศ กล่าวว่า การใช้แบบจำลอง GNOME จะสามารถประเมินความอ่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อหาแนวทางป้องกันและรับมือได้อย่างทันท่วงที รวมไปถึงสามารถใช้เป็นต้นแบบหรือเครื่องมือสนับสนุนการดำเนินการภายใต้แผนการจัดการ แผนเผชิญเหตุ แผนการเก็บกู้คราบน้ำมัน รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการจัดการด้านมลพิษทางทะเลประเภทอื่น ตลอดจนใช้เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติการในสถานการณ์การจริง กรณีเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในทะเล
Marine GI Portal จึงจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพร่วมกับระบบฐานข้อมูลทางทะเลและชายฝั่งของประเทศ ในการบริหารจัดการข้อมูลเพื่อให้สามารถรองรับภารกิจตามแผนงานของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด


