เปิด4ผู้ท้าชิงเลขาฯป.ป.ช.คนที่10เดิมพันคดีการเมืองร้อน

ตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่างลง หลัง “สาโรจน์ พึงรำพรรณ” ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ถือเป็นเลขาธิการ ป.ป.ช. คนแรกที่ก้าวลงกลางคัน

ทำให้การสรรหาคนใหม่ขึ้นมานั่งเก้าอี้สำคัญนี้ ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากผู้ที่จะได้ตำแหน่ง “เลขาธิการ ป.ป.ช.คนที่ 10” ต้องเข้ามาดูแลสำนวนคดีการเมืองใหญ่ ๆ ที่สะสมค้างอยู่จำนวนมาก ทั้งคดีนักการเมืองระดับอดีตนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ระดับสูง
 

การลาออกของ “สาโรจน์” มีคำอธิบายเบื้องต้นว่า มาจากแรงกดดันในการทำงานและผลการประเมินที่ไม่เข้าตาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ถึงขั้นได้คะแนนต่ำอย่างน่ากังวล

อีกทั้งยังอาจถูกปรับไปดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิในโครงสร้างใหม่ จึงเลือกตัดสินใจไขก๊อกเอง แม้เจ้าตัวยังไม่ออกมายืนยันชัดเจน แต่ก็สร้างแรงกระเพื่อมใหญ่ต่อองค์กรปราบโกง เพราะตำแหน่งเลขาธิการ ป.ป.ช. ไม่เพียงเป็นผู้บริหารงานภายใน แต่ยังเปรียบเสมือน “แม่บ้าน” ที่กำกับทิศทางการทำงานเชิงนโยบายของสำนักงานด้วย

สารพัดคดีร้อนที่รอการสะสาง

ปัจจุบัน ป.ป.ช. ต้องเผชิญคดีสำคัญหลายคดีที่อยู่ในความสนใจของสังคม เช่น กรณีอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และอดีตรองผู้บัญชาการฯ พัวพันกับขบวนการเว็บพนันออนไลน์ คดีอดีตรัฐมนตรีถูกกล่าวหาว่าใช้นอมินีถือหุ้นแทน คดีอดีตนายกรัฐมนตรีโยกย้ายงบประมาณโดยมิชอบ คดีถุงยังชีพที่เกี่ยวพันรัฐมนตรีระดับปัจจุบัน ไปจนถึงกรณีอดีต ส.ส. ฝ่าฝืนจริยธรรมจากการลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 ฯลฯ ทุกคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการสอบสวนและพิจารณา และจะต้องถูกส่งต่อให้เลขาธิการ ป.ป.ช. คนใหม่เป็นผู้ขับเคลื่อน

4 แคนดิเดต ตัวเต็ง “เลขาฯ ป.ป.ช.” คนใหม่
การแข่งขันครั้งนี้ยิ่งน่าจับตาเพราะมีผู้ท้าชิงตำแหน่งอย่างน้อย 4 คน ซึ่งล้วนดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ป.ป.ช. อยู่แล้ว และแต่ละคนต่างมีจุดแข็งแตกต่างกันออกไป

สุรพงษ์ อินทรถาวร – ลูกหม้อสายตรงของสำนักงาน ป.ป.ช. ถือว่าอาวุโสที่สุดในกลุ่ม เคยเข้าชิงตำแหน่งมาแล้วเมื่อปี 2567 แต่พ่ายแพ้ “สาโรจน์” สุรพงษ์มีพื้นฐานด้านกฎหมาย เป็นคนทำงานแนว “ปิดทองหลังพระ” ได้รับการสนับสนุนจากคนในองค์กรพอสมควร แต่เหลืออายุราชการเพียง 1 ปี จะเกษียณใน ต.ค. 2569

พล.ต.ต.อรุณ อมรวิริยะกุล – ผู้มีคุณวุฒิอาวุโสที่สุด เคยเป็น “มือขวา” ของอดีตประธาน ป.ป.ช. พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ถูกผลักดันให้ชิงเก้าอี้เลขาธิการมาแล้ว แต่พ่ายไปในการแข่งขันครั้งก่อน ปัจจุบันยังเหลืออายุราชการอีก 3 ปี จะเกษียณในปี 2571 จุดแข็งคือเครือข่ายและประสบการณ์ยาวนานในองค์กร

 

พ.ต.ต.ชัชนพ ผดุงกาญจน์ – เติบโตจากสายภาคสนาม เคยเป็นผู้ช่วยเลขาธิการ ป.ป.ช. ภาค 5 และผู้ตรวจราชการสำนักงานฯ ก่อนจะขึ้นมาเป็นรองเลขาธิการฯ มีภาพลักษณ์เป็นนักบริหารเชิงพื้นที่ เข้าใจระบบงาน ป.ป.ช. ระดับจังหวัดและภูมิภาค

นิติพันธุ์ ประจวบเหมาะ – เชี่ยวชาญด้านคดีทุจริตระหว่างประเทศและคดีสินบนข้ามชาติ มีบทบาทสำคัญในการผลักดันมาตรการต่อต้านสินบนและร่วมปิดสำนวนคดีสำคัญระดับนานาชาติหลายคดี จุดเด่นคือวิสัยทัศน์เชิงป้องกันการทุจริตและความสามารถในการประสานงานกับองค์กรต่างประเทศ

เดิมพันความน่าเชื่อถือขององค์กร

การสรรหาเลขาธิการ ป.ป.ช. คนที่ 10 ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันภายในองค์กร แต่ยังสะท้อนความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อบทบาทของสำนักงานปราบโกง การเลือกบุคคลใดขึ้นดำรงตำแหน่งย่อมส่งผลต่อทิศทางการจัดการคดีสำคัญทางการเมืองทั้งหมดในอนาคต หากได้ผู้ที่มีความเป็นกลาง โปร่งใส และกล้าตัดสินใจ ย่อมช่วยฟื้นความศรัทธาที่สังคมมีต่อ ป.ป.ช. แต่หากเลือกผิดพลาด ก็อาจยิ่งซ้ำเติมความเชื่อมั่นที่ลดลงเรื่อย ๆ

สัญญาณการเมืองและอนาคต ป.ป.ช.

บรรดานักวิเคราะห์การเมืองต่างเห็นตรงกันว่า กระบวนการสรรหาครั้งนี้อาจสะท้อนแรงกดดันทางการเมืองที่ยังโอบล้อม ป.ป.ช. อยู่ เนื่องจากคดีที่อยู่บนโต๊ะหลายคดีเกี่ยวข้องกับนักการเมืองชั้นนำ และอาจกระทบเสถียรภาพรัฐบาลได้โดยตรง ดังนั้นจึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า ใครจะเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อ และกระบวนการคัดเลือกจะดำเนินไปอย่างโปร่งใสเพียงใด

เก้าอี้เลขาธิการ ป.ป.ช. คนใหม่ไม่เพียงแต่เป็นตำแหน่งบริหารสูงสุดของสำนักงาน แต่ยังเป็น “ตัวละคร” ที่จะกำหนดบทบาทองค์กรปราบโกงของไทยในห้วงเวลาที่สังคมกำลังตั้งคำถามต่อความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายและมาตรฐานความยุติธรรม การตัดสินใจเลือกครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องบุคคล แต่เป็นเดิมพันต่อความเชื่อมั่นในระบบการตรวจสอบอำนาจรัฐทั้งระบบ