แผ่นดินไหวเขย่า"ตึกระฟ้า"2,700 อาคารเสี่ยงกลางกรุง
แรงแผ่นดินไหวขนาด 6.7 ริกเตอร์ ศูนย์กลางอยู่ที่รัฐฉาน สหภาพพม่า สะท้านสะเทือนมาถึงหลายจังหวัดในประเทศไทย รวมทั้งกรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่บนตึกสูงที่สามารถรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
แรงแผ่นดินไหวขนาด 6.7 ริกเตอร์ ศูนย์กลางอยู่ที่รัฐฉาน สหภาพพม่า สะท้านสะเทือนมาถึงหลายจังหวัดในประเทศไทย รวมทั้งกรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่บนตึกสูงที่สามารถรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
โดย...ทีมข่าวในประเทศ
เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า รัฐบาลควรเร่งตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารสูงในพื้นที่ กทม. ที่สร้างก่อนปี 2552 เนื่องจากตามกฎกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร กำหนดให้สามารถทนอัตราการเร่งของแรงสะเทือนแผ่นดินไหวที่ 0.06 จี หรือเทียบได้กับความรุนแรงระดับ 56 ริกเตอร์ แต่ไม่มีผลบังคับใช้กับตึกสูงที่สร้างขึ้นก่อนที่กฎกระทรวงฉบับนี้จะประกาศใช้ ฉะนั้นจึงไม่มีใครทราบว่าอาคารสูงเหล่านั้นจะสามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนได้เท่าใดกันแน่
“พื้นที่ กทม.เป็นดินอ่อน รัฐต้องเข้าไปตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารเก่าๆ และควรตรวจสอบอาคารของรัฐก่อน เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับภาคเอกชน ซึ่งงบประมาณเสริมสร้างความแข็งแรงของอาคารจะตกอยู่ประมาณ 510% เท่านั้น แต่ปัญหายังมีอีกว่าอาคารที่โอนให้นิติบุคคลไปแล้ว ใครจะมาลงทุนในจุดนี้ เนื่องจากเจ้าของโครงการก็ถือว่าได้ขายไปแล้ว” เสรี กล่าว
นอกจากนี้ อาคารบ้านเรือนตามแนวชายแดน แม้ไม่ใช่ตึกสูงก็ควรสำรวจความแข็งแรงเช่นกัน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้แผ่นดินไหว และได้รับแรงสั่นสะเทือนโดยตรง
ธเนศ วีระศิริ รองเลขาธิการวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ปัญหาเรื่องตึกสูงและความสามารถในการต้านทานแผ่นดินไหว มีการบังคับไว้ชัดเจนในกฎกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. 2550 ดังนั้นอาคารสูงทั้งหมดที่สร้างหลังจากนี้ต้องปฏิบัติตาม โดยมีวิศวกรเป็นผู้ควบคุมให้เป็นไปตามข้อกำหนด
เช่นเดียวกับ เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) กล่าวว่า โอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7-8 ริกเตอร์ ในรอยเลื่อนใกล้พื้นที่ กทม. มีความเป็นไปได้ โดยเฉพาะรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ซึ่งห่างจาก กทม. เพียง 200 กิโลเมตร
อย่างไรก็ตาม อาจารย์เป็นหนึ่ง กล่าวว่า ผลกระทบในพื้นที่ กทม.อาจไม่รุนแรงมาก โดยขณะนี้กำลังศึกษาโมเดลการเกิดแผ่นดินไหวใน จ.เชียงใหม่ พบว่าหากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6 ริกเตอร์ อาคารต่างๆ จะได้รับผลกระทบในวงกว้าง และมีผู้เสียชีวิตนับพันคน ส่วน จ.กาญจนบุรี ผลศึกษาความเป็นไปได้คาดว่าจะมีความเสียหายมากเช่นเดียวกัน และขอเรียกร้องให้หน่วยงานต่างๆ ออกแบบอาคารในพื้นที่ กทม. ให้มีความต้านทานต่อแผ่นดินไหว
ขณะที่ ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นแย้งว่า เหตุที่ชาว กทม.สามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้ เป็นเพราะคลื่นความรุนแรงจะมาตามผิวดิน แต่โดยรวมถือว่าไม่ผิดปกติ เพราะ กทม.ยังถือว่าอยู่ห่างไกลจากรัศมีทำลายล้าง อีกทั้งคลื่นดังกล่าวมากระทบกับเสาเข็มของอาคารสูงในชั้นใต้ดินจึงทำให้เกิดการสั่นไหว แต่ไม่ถึงกับทำให้ตึกถล่มอย่างแน่นอน
ด้าน พรเทพ เตชะไพบูลย์ รองผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่า จากรายงานเบื้องต้นยังไม่พบว่ามีอาคารในพื้นที่ กทม.ได้รับความเสียหาย แต่ต้องมีการเฝ้าระวัง เนื่องจากมีอาคารสูงที่มีความเสี่ยงจำนวนกว่า 2,700 อาคาร ซึ่งเป็นอาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 15 เมตรขึ้นไป โดย กทม.ได้ทำหนังสือไปยังอาคารต่างๆ แล้วเพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบความมั่นคงของอาคาร
ทั้งนี้ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2550 ระบุชัดเจนว่า อาคารสูงกว่า 23 เมตร หรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ พื้นที่มากกว่า 1 หมื่นตารางเมตร ต้องรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ 5 ริกเตอร์ขึ้นไป โดยอาคารในพื้นที่ กทม.ส่วนใหญ่ 90% ก่อสร้างก่อนมี พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ซึ่งไม่มีการรองรับในเรื่องแผ่นดินไหว โดยต่อจากนี้ กทม.จะต้องให้มีการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้มีความแข็งแรงสามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้
“กทม.จะส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างละเอียด และจะเร่งรัดผลักดันให้แก้ไข พ.ร.บ.ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยจะต้องมีการยึดติดโครงสร้างอาคารให้แข็งแรงและยืดหยุ่น รวมทั้งเพิ่มโครงสร้างอื่นๆ เช่น กระจก ไฟสำรอง และทางหนีไฟ เพื่อสามารถเคลื่อนย้ายประชาชนได้หากเกิดกรณีฉุกเฉิน” รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าว
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวยอมรับว่า หลังจากนี้อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนระบบเตือนภัย ควบคู่กับการให้ความรู้กับประชาชน และต้องมีการประเมินความเสี่ยง รวมถึงการก่อสร้างตึกสูงต่างๆ ซึ่งจะต้องคำนึงถึงเหตุแผ่นดินไหว ทั้งการป้องกันภัยและการลดผลกระทบ
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เบื้องต้นการปรับเปลี่ยนวิธีการก่อสร้างอาคารอาจไม่จำเป็นต้องออกเป็นกฎหมาย แต่สามารถใช้การปรับกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องแทน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินผลกระทบจากแผ่นดินไหวด้วย


