posttoday

แผ่นดินไหวเขย่า"ตึกระฟ้า"2,700 อาคารเสี่ยงกลางกรุง

26 มีนาคม 2554

แรงแผ่นดินไหวขนาด 6.7 ริกเตอร์ ศูนย์กลางอยู่ที่รัฐฉาน สหภาพพม่า สะท้านสะเทือนมาถึงหลายจังหวัดในประเทศไทย รวมทั้งกรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่บนตึกสูงที่สามารถรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

แรงแผ่นดินไหวขนาด 6.7 ริกเตอร์ ศูนย์กลางอยู่ที่รัฐฉาน สหภาพพม่า สะท้านสะเทือนมาถึงหลายจังหวัดในประเทศไทย รวมทั้งกรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่บนตึกสูงที่สามารถรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

โดย...ทีมข่าวในประเทศ

เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า รัฐบาลควรเร่งตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารสูงในพื้นที่ กทม. ที่สร้างก่อนปี 2552 เนื่องจากตามกฎกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร กำหนดให้สามารถทนอัตราการเร่งของแรงสะเทือนแผ่นดินไหวที่ 0.06 จี หรือเทียบได้กับความรุนแรงระดับ 56 ริกเตอร์ แต่ไม่มีผลบังคับใช้กับตึกสูงที่สร้างขึ้นก่อนที่กฎกระทรวงฉบับนี้จะประกาศใช้ ฉะนั้นจึงไม่มีใครทราบว่าอาคารสูงเหล่านั้นจะสามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนได้เท่าใดกันแน่

แผ่นดินไหวเขย่า"ตึกระฟ้า"2,700 อาคารเสี่ยงกลางกรุง

“พื้นที่ กทม.เป็นดินอ่อน รัฐต้องเข้าไปตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารเก่าๆ และควรตรวจสอบอาคารของรัฐก่อน เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับภาคเอกชน ซึ่งงบประมาณเสริมสร้างความแข็งแรงของอาคารจะตกอยู่ประมาณ 510% เท่านั้น แต่ปัญหายังมีอีกว่าอาคารที่โอนให้นิติบุคคลไปแล้ว ใครจะมาลงทุนในจุดนี้ เนื่องจากเจ้าของโครงการก็ถือว่าได้ขายไปแล้ว” เสรี กล่าว

นอกจากนี้ อาคารบ้านเรือนตามแนวชายแดน แม้ไม่ใช่ตึกสูงก็ควรสำรวจความแข็งแรงเช่นกัน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้แผ่นดินไหว และได้รับแรงสั่นสะเทือนโดยตรง

ธเนศ วีระศิริ รองเลขาธิการวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ปัญหาเรื่องตึกสูงและความสามารถในการต้านทานแผ่นดินไหว มีการบังคับไว้ชัดเจนในกฎกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. 2550 ดังนั้นอาคารสูงทั้งหมดที่สร้างหลังจากนี้ต้องปฏิบัติตาม โดยมีวิศวกรเป็นผู้ควบคุมให้เป็นไปตามข้อกำหนด

เช่นเดียวกับ เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) กล่าวว่า โอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7-8 ริกเตอร์ ในรอยเลื่อนใกล้พื้นที่ กทม. มีความเป็นไปได้ โดยเฉพาะรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ซึ่งห่างจาก กทม. เพียง 200 กิโลเมตร

อย่างไรก็ตาม อาจารย์เป็นหนึ่ง กล่าวว่า ผลกระทบในพื้นที่ กทม.อาจไม่รุนแรงมาก โดยขณะนี้กำลังศึกษาโมเดลการเกิดแผ่นดินไหวใน จ.เชียงใหม่ พบว่าหากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6 ริกเตอร์ อาคารต่างๆ จะได้รับผลกระทบในวงกว้าง และมีผู้เสียชีวิตนับพันคน ส่วน จ.กาญจนบุรี ผลศึกษาความเป็นไปได้คาดว่าจะมีความเสียหายมากเช่นเดียวกัน และขอเรียกร้องให้หน่วยงานต่างๆ ออกแบบอาคารในพื้นที่ กทม. ให้มีความต้านทานต่อแผ่นดินไหว

ขณะที่ ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นแย้งว่า เหตุที่ชาว กทม.สามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้ เป็นเพราะคลื่นความรุนแรงจะมาตามผิวดิน แต่โดยรวมถือว่าไม่ผิดปกติ เพราะ กทม.ยังถือว่าอยู่ห่างไกลจากรัศมีทำลายล้าง อีกทั้งคลื่นดังกล่าวมากระทบกับเสาเข็มของอาคารสูงในชั้นใต้ดินจึงทำให้เกิดการสั่นไหว แต่ไม่ถึงกับทำให้ตึกถล่มอย่างแน่นอน

แผ่นดินไหวเขย่า"ตึกระฟ้า"2,700 อาคารเสี่ยงกลางกรุง

ด้าน พรเทพ เตชะไพบูลย์ รองผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่า จากรายงานเบื้องต้นยังไม่พบว่ามีอาคารในพื้นที่ กทม.ได้รับความเสียหาย แต่ต้องมีการเฝ้าระวัง เนื่องจากมีอาคารสูงที่มีความเสี่ยงจำนวนกว่า 2,700 อาคาร ซึ่งเป็นอาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 15 เมตรขึ้นไป โดย กทม.ได้ทำหนังสือไปยังอาคารต่างๆ แล้วเพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบความมั่นคงของอาคาร

ทั้งนี้ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2550 ระบุชัดเจนว่า อาคารสูงกว่า 23 เมตร หรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ พื้นที่มากกว่า 1 หมื่นตารางเมตร ต้องรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ 5 ริกเตอร์ขึ้นไป โดยอาคารในพื้นที่ กทม.ส่วนใหญ่ 90% ก่อสร้างก่อนมี พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ซึ่งไม่มีการรองรับในเรื่องแผ่นดินไหว โดยต่อจากนี้ กทม.จะต้องให้มีการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้มีความแข็งแรงสามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้

“กทม.จะส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างละเอียด และจะเร่งรัดผลักดันให้แก้ไข พ.ร.บ.ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยจะต้องมีการยึดติดโครงสร้างอาคารให้แข็งแรงและยืดหยุ่น รวมทั้งเพิ่มโครงสร้างอื่นๆ เช่น กระจก ไฟสำรอง และทางหนีไฟ เพื่อสามารถเคลื่อนย้ายประชาชนได้หากเกิดกรณีฉุกเฉิน” รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าว

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวยอมรับว่า หลังจากนี้อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนระบบเตือนภัย ควบคู่กับการให้ความรู้กับประชาชน และต้องมีการประเมินความเสี่ยง รวมถึงการก่อสร้างตึกสูงต่างๆ ซึ่งจะต้องคำนึงถึงเหตุแผ่นดินไหว ทั้งการป้องกันภัยและการลดผลกระทบ

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เบื้องต้นการปรับเปลี่ยนวิธีการก่อสร้างอาคารอาจไม่จำเป็นต้องออกเป็นกฎหมาย แต่สามารถใช้การปรับกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องแทน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินผลกระทบจากแผ่นดินไหวด้วย

ข่าวล่าสุด

เปิดภาพคุมตัว "น.ส.ลัก" สอบเข้ม ปมบังคับลูกสาววัย 12 ค้ากามญี่ปุ่น