มติสมช.ย้ำจบปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องคุยกันระดับทวิภาคี

เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2568 ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ครั้งที่ 17/2568 ร่วมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผบ.ตร. และหน่วยงานด้านการบินและความมั่นคง

ภายหลังการประชุม ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. แถลงว่า ที่ประชุมมีมติสำคัญ 2 ระยะ คือมาตรการเร่งด่วนและมาตรการระยะยาว เพื่อรับมือสถานการณ์การพบโดรนในพื้นที่สำคัญ โดยเฉพาะสนามบินและจังหวัดชายแดน ซึ่ง สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้ประกาศพื้นที่ควบคุมการบินโดรนตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา

มาตรการเร่งด่วน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการทำงานของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกัน ปราบปราม และสืบสวนการใช้โดรนผิดกฎหมาย รวมถึงการจัดหาและใช้ระบบแอนตี้โดรน โดยกระทรวงกลาโหมผ่อนคลายขั้นตอนการอนุญาตยุทธภัณฑ์ พร้อมเข้มงวดการลักลอบนำเข้าโดรน และย้ำโทษร้ายแรงต่อผู้ฝ่าฝืน โดยเฉพาะในเขตสนามบินซึ่งมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต หากเข้าข่ายภัยต่อความมั่นคง

สำหรับระยะยาว สมช.เห็นชอบให้ กองทัพอากาศไทย เป็นหน่วยงานหลักจัดตั้ง “ศูนย์บริหารจัดการควบคุมและต่อต้านอากาศยานไร้คนขับแห่งชาติ” เพื่อบูรณาการข้อมูล พัฒนาเทคโนโลยี และยกระดับบุคลากร รวมถึงทบทวนกฎหมายเพิ่มโทษการใช้โดรนกระทบความมั่นคง

ในประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา นายฉัตรชัย ระบุว่า แม้การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนจะช่วยขับเคลื่อนบรรยากาศ แต่ หลักการของ สมช.ยืนยันว่า การยุติปัญหาต้องจบด้วยการหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา

ด้าน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เปิดเผยว่า กรณีรายงานพบโดรนบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ อยู่ระหว่างตรวจสอบ ยังไม่ยืนยันจำนวนที่อ้างถึง 40 ลำ โดยย้ำว่าฝ่ายความมั่นคงตั้งสมมุติฐานร้ายแรงที่สุดไว้ก่อน พร้อมเตือนผู้คิดก่อเหตุหรือปั่นป่วนสถานการณ์ว่า มีโทษหนักทั้งตามกฎหมายการเดินอากาศและประมวลกฎหมายอาญา อาจถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต