“อนุทิน” ย้ำกองทัพมีอำนาจเต็ม หากสถานการณ์ชายแดนตึงเครียด
"อนุทิน"ยืนยันพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา อยู่ภายใต้กฎอัยการศึก การตัดสินใจทั้งหมดขึ้นอยู่กับแม่ทัพภาคที่ 2 เปิดไฟเขียวให้ใช้อำนาจเต็มที่ เพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ
KEY
POINTS
- นายอนุทินยืนยันว่ากองทัพมีอำนาจเต็มผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติในการตัดสินใจเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนเพื่อรักษาอธิปไตย
- หากสถานการณ์บานปลายถึงขั้นเกิดการปะทะ การตัดสินใจใดๆ รวมถึงการเจรจาหยุดยิง จะเป็นอำนาจโดยตรงของกองทัพ
- การเจรจาทางการทูตจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากกัมพูชายังคงเคลื่อนย้ายอาวุธและกำลังพลเข้าสู่พื้นที่ชายแดน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า จะลงพื้นที่ชายแดนในฐานะที่ดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ควบคู่กับบทบาทผู้นำรัฐบาล เพื่อกำกับติดตามการทำงานร่วมของกองทัพและฝ่ายปกครองในพื้นที่
ในด้านความสัมพันธ์กับกัมพูชา นายอนุทินกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการหารืออย่างเป็นทางการ แต่ไทยมีจุดยืนชัดเจนว่าต้องรักษาอธิปไตย โดยอำนาจการตัดสินใจยังคงมอบให้กองทัพผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งแม้จะมีการเปลี่ยนตัวแม่ทัพภาคที่ 2 ในเดือนกันยายน แต่ก็มั่นใจว่าจะสามารถสานต่อภารกิจได้อย่างราบรื่น
นอกจากนี้ ได้มีการแต่งตั้ง พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 เข้ามาช่วยงานในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลพื้นที่ชายแดน เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญในพื้นที่ดังกล่าว
สำหรับการเจรจาทางการทูต นายกรัฐมนตรีระบุว่า หากฝั่งกัมพูชายังคงมีการกดดันด้วยการเคลื่อนย้ายอาวุธหนักและกำลังพลเข้าสู่พื้นที่ชายแดน จะทำให้การเจรจาไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และไทยอาจต้องเพิ่มมาตรการเข้มข้นมากขึ้น จากเดิมที่ปิดด่านชายแดน อาจขยายไปถึงการจำกัดบริการสาธารณูปโภคบางประการ
ส่วนกรณีที่กัมพูชาประกาศว่า “ปิดด่าน 100 ปีไม่กระทบ” นายอนุทินปฏิเสธที่จะให้ความเห็น โดยย้ำว่าไม่ควรมีถ้อยคำที่บั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลไทยจะพยายามดำเนินการอย่างเต็มความสามารถเพื่อหาทางออกภายใน 4 เดือนตามข้อเรียกร้องของประชาชนในพื้นที่ แต่ยืนยันชัดเจนว่าจะไม่มีการสูญเสียอธิปไตยหรือผลประโยชน์ของชาติ
ทั้งนี้ หากสถานการณ์บานปลายถึงขั้นเกิดการปะทะ นายอนุทินย้ำว่า การตัดสินใจใด ๆ รวมถึงการเจรจาหยุดยิง จะเป็นอำนาจโดยตรงของกองทัพ


