"ทักษิณ" เล่าหมดเปลือก เกมการเมือง "ฮุน เซน" ไม่ถึงขั้นสงคราม
ม้วนเดียวจบ! "ทักษิณ" เล่าหมดเปลือก เกมชิงไหวพริบ-ผลประโยชน์สีเทา จุดแตกหัก "ฮุน เซน" เชื่อปมชายแดนไทย-กัมพูชาไม่ถึงขั้นสงคราม
อดีตนายกรัฐมนตรี ‘ดร.ทักษิณ ชินวัตร’ เปิดเบื้องลึกรอยร้าว "ฮุนเซน" แฉปมขัดแย้ง ไม่ใช่เรื่องชายแดน แต่คือการทลาย "ธุรกิจสีเทา"
ภายในงาน “55 ปี NATION :ผ่าทางตันประเทศไทย” Chapter 1 3 บก. ถาม ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ตอบวันพุธที่ 9 กรกฎาคม 2568 เวลา 17.00-20.00 น. ณ ห้องพญาไท 4 ชั้น 6 โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท
ดำเนินรายการโดย 3 บก.สมชาย มีเสน รองประธานกรรมการ บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน),บากบั่น บุญเลิศ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน),และประธานกรรมการ บริษัท ฐานเศรษฐกิจ มัลติมีเดีย จำกัด,วีระศักดิ์ พงศ์อักษร บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น
ชำแหละ "กับดัก" คลิปเสียง โจมตีทางการทูตที่ไม่เป็นมืออาชีพ
จุดเริ่มต้นของรอยร้าวที่ปะทุขึ้นสู่สาธารณะ มาจากการปล่อยคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีแพทองธารและฮุน เซน โดยดร.ทักษิณ เล่าย้อนถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า
เดิมทีมีการนัดหมายให้นายกฯ แพทองธารสนทนากับฮุน เซน ผ่านการประสานงานของ "พี่ฮวด" โดยมีรัฐมนตรีคนสำคัญร่วมรับฟังด้วย ทั้งนายภูมิธรรม เวชยชัย (ในฐานะ รมว.กลาโหมขณะนั้น) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ (รมว.ต่างประเทศ) และ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ณ โรงแรมโรสวูด
"นายกฯ แพทองธาร ไม่ได้ไปคนเดียว ไป 3 คนอยู่ด้วยกัน เพื่อรอรับสาย" ดร.ทักษิณกล่าว
แต่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือถูกปล่อยให้รอเก้อถึง 3 ชั่วโมง โดยฝ่ายกัมพูชาอ้างว่า "ฮุน เซนหลับ" พร้อมทั้งมีการส่งภาพถ่ายขณะหลับมาให้ดูด้วย
"ผมบอกลูกว่ากลับมาลูก ไม่ต้องรอแล้ว" ดร.ทักษิณกล่าว
เมื่อคณะของนายกฯ แพทองธารแยกย้ายกลับไปแล้ว ฮุน เซนกลับโทรศัพท์เข้าเบอร์ส่วนตัวของนายกฯ แพทองธารโดยตรง ซึ่งในขณะนั้นอยู่เพียงลำพัง
ซึ่งต่อมาคลิปดังกล่าวได้ถูกนำมาเผยแพร่สู่สาธารณะ สร้างผลกระทบทางการเมืองในประเทศไทยอย่างรุนแรง
"สงสัยจะไม่หลับหรอก เตรียมอัดคลิป น่าจะรู้ว่าเรามีรัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีต่างประเทศอยู่ด้วย" ดร.ทักษิณวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ในวันนั้น
ปมขัดแย้งชายแดน ชนวนเหตุไม่พอใจทลาย "ธุรกิจสีเทา"
แม้ความขัดแย้งชายแดนจะเป็นชนวน แต่ ดร.ทักษิณวิเคราะห์ว่าสาเหตุที่แท้จริงและลึกซึ้งกว่านั้น คือการที่ฝ่ายไทยเดินหน้าปราบปรามธุรกิจสีเทาอย่างจริงจัง
ซึ่งมีฐานที่มั่นสำคัญในกัมพูชาและเกี่ยวข้องกับบุคคลใกล้ชิดของฮุน เซน
"ผมบอกว่าตึก 25 ชั้นนี่แหละเป็นที่ซ่องสุมคอลเซ็นเตอร์" ดร.ทักษิณอ้างถึงคำปราศรัยของตนเอง
ซึ่งนำไปสู่การสืบสวนของตำรวจไทยจนพบว่า "เศรษฐกิจเขมรเนี่ย หลอกลวงเงินคนไทยไป"
ข้อมูลเชิงลึกที่ดร.ทักษิณได้มายังพบว่าเครือข่ายดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับการฟอกเงินและบริษัทที่ถูกสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำ (Blacklist) โดยมี "หลานชายคนโต" ของฮุนเซนเข้ามาถือหุ้นด้วย
นอกจากนี้ยังพบเส้นทางการเงินที่น่าสงสัยกว่าร้อยล้านบาทจากฝั่งไทย โยงไปถึงที่ปรึกษารัฐมนตรีแรงงานของกัมพูชา ซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดกับฮุนเซนอีกคนหนึ่ง
"ถ้าจะโกรธ ก็น่าจะโกรธเรื่องนี้แหละ" ดร.ทักษิณยืนยัน และเชื่อว่านี่คือจุดแตกหักที่สำคัญที่สุด เพราะกระทบต่อผลประโยชน์มหาศาลของกลุ่มอำนาจในกัมพูชาโดยตรง
ย้อนรอยความสัมพันธ์: จาก "พี่ชาย" สู่ภาวะ "ต่างคนต่างลืมชื่อ"
ดร.ทักษิณยอมรับว่าตนเองสนิทสนมกับฮุนเซนอย่างมากในอดีต ถึงขั้นที่ฮุนเซนเคยมาเยี่ยมเป็นคนแรกหลังกลับประเทศไทย และเรียกตนเองว่าเป็น "พี่ชาย"
แต่เมื่อถึงเวลาที่ผลประโยชน์ของประเทศชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง ตนก็ต้องยึดถือประเทศไทยเป็นหลัก ดังเช่นเหตุการณ์เผาสถานทูตไทยที่กรุงพนมเปญ (ปฏิบัติการโปเชนตง) ในปี พ.ศ. 2546
ที่ตนเคยยื่นคำขาดจะส่งเครื่องบิน C-130 พร้อมหน่วยรบพิเศษเข้าไปคุ้มครองคนไทย
"แน่นอนเมื่อถึงเวลาเรื่องของประเทศมา ผมถือเรื่องประเทศไทย" ดร.ทักษิณย้ำ
ส่วนสถานะความสัมพันธ์กับฮุนเซนในปัจจุบันนั้น ดร.ทักษิณเปรยว่า "ต่างคนต่างลืมชื่อกันไปแล้ว"
อนาคตชายแดนไทย-กัมพูชา "ดำน้ำแข่งกัน" แต่ไม่ถึงขั้นสงคราม
เมื่อถูกถามถึงสถานะความสัมพันธ์ในปัจจุบัน ดร.ทักษิณตอบอย่างชัดเจนว่า "ไม่ต้องคุย" และ "จบไปแล้ว"
ท่านยอมรับว่าได้ส่งข้อความไปหาฮุน เซนเพียงครั้งเดียวหลังเกิดเรื่องว่า "สิ่งที่ you ทำอย่างนี้ มันเสียหายทั้ง you ทั้ง I" และไม่ได้รับการตอบกลับ ไม่มีการสื่อสารกันอีกเลย
อย่างไรก็ตาม อดีตนายกรัฐมนตรีประเมินว่าสถานการณ์จะไม่ลุกลามบานปลายไปถึงขั้นสงครามอย่างแน่นอน
"เรื่องมันไม่ได้ใหญ่เลย เรื่องมันนิดเดียว" ดร.ทักษิณกล่าว พร้อมเปรียบเปรยสถานการณ์ปัจจุบันว่าเป็นเหมือน "การดำน้ำแข่งกัน ใครอึดกว่าชนะ"
ซึ่งหมายถึงการเผชิญหน้ากันด้วยความอดทนและยุทธศาสตร์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ประเทศที่สามเข้ามาไกล่เกลี่ย
อดีตนายกรัฐมนตรีเชื่อว่า ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้โดยไม่ต้องอาศัยประเทศที่สามเข้ามาไกล่เกลี่ย และกลไกการเจรจาที่มีอยู่เดิมอย่าง JBC ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการคลี่คลายความขัดแย้งชายแดนได้ แม้ว่าในขณะนี้ฝ่ายกัมพูชาจะยังไม่ตอบรับการเจรจาก็ตาม


