ประธานวุฒิสภายื่นถอดถอน “แพทองธาร” ปมคลิปเสียงฮุนเซน
ประธานวุฒิสภายื่นศาลรธน.-ป.ป.ช. ถอดถอน “นายกฯแพทองธาร” ปมคลิปเสียงคุย “ฮุนเซน” ชี้ผิดจริยธรรม-ขัดรัฐธรรมนูญ เสียหายต่อประเทศ
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้มีหนังสือยื่นต่อประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ดำเนินการไต่สวนและวินิจฉัยสถานภาพของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยระบุว่าอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและจริยธรรมอย่างร้ายแรง
การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลัง พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะกรรมาธิการการทหาร ได้รวบรวมรายชื่อ ส.ว. และออกแถลงการณ์ร่วมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก โดยชี้ว่า น.ส.แพทองธารแสดงพฤติการณ์ที่ขาดภาวะผู้นำ และไม่ยืนหยัดในผลประโยชน์ของประเทศชาติ
สาระสำคัญของคำร้องต่อ ป.ป.ช. คือการขอให้ไต่สวนข้อเท็จจริงว่า นายกรัฐมนตรีได้จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ และมีพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 หรือไม่ ขณะเดียวกัน ยังมีหนังสือถึงศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยว่าความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5)
ประเด็นที่ถูกหยิบยกเป็นหลักฐาน คือคลิปเสียงที่ น.ส.แพทองธาร ยอมรับว่าเป็นการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ซึ่งมีเนื้อหาพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 ว่าเป็น “คนละฝ่าย” จนถูกมองว่าเป็นการดูหมิ่นกองทัพไทย พร้อมแสดงท่าทีอ่อนข้อให้ผู้นำต่างชาติ ซึ่งอาจกระทบต่ออธิปไตยและความมั่นคงของชาติ
คณะกรรมาธิการทหารยังชี้ว่า การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญาหลายมาตรา ทั้งความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในและภายนอกราชอาณาจักร รวมถึงมาตรา 257 ที่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
นอกจากนี้ ยังระบุว่าการแสดงท่าทีขัดแย้งกับแม่ทัพภาคที่ 2 ถือเป็นการสร้างความแตกแยกในชาติ และขาดความซื่อสัตย์สุจริตในการดำรงตำแหน่ง ส่งผลให้ขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ จึงต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ทันที
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการทหารและวุฒิสภายืนยันว่าไม่สามารถปล่อยให้นายกรัฐมนตรีที่ “อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประเทศ” บริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้แม้แต่วินาทีเดียว พร้อมย้ำว่า การยื่นถอดถอนครั้งนี้เป็นไปเพื่อปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติอย่างถึงที่สุด