posttoday

มหากาพย์ "คอนโดทหารยักษ์" กลางชุมชน ชาวบ้านคัดค้านแต่ผ่านEIA

17 มิถุนายน 2568

สส.พรรคประชาชน เปิด 3 ประเด็น หลัก มหากาพย์ “คอนโดทหารยักษ์” ชี้ โผล่กลางชุมชน ผิดกฎกระทรวง ชาวบ้านคัดค้านแต่ผ่านEIA

น.ส.ภัสริน รามวงศ์ หรือกานต์ สส.พรรคประชาชน เขตบางซื่อ ดุสิต เปิดเผย กรณีโครงการก่อสร้างที่พักอาศัยวของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม บริเวณทางพิเศษศรีรัช ซอยประชานุกูล 30 เขตบางซื่อ กทม. ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับรพ.เกษมราษฎร์ ประชาชื่น

มหากาพย์ "คอนโดทหารยักษ์" กลางชุมชน ชาวบ้านคัดค้านแต่ผ่านEIA

โดยระบุว่า 3 ประเด็นหลักของมหากาพย์ คอนโดทหารยักษ์ แยกประชานุกูล ที่กระทบประชาชนโดยรอบมากว่าครึ่งทศวรรษ

 

คำถามสำคัญ ทำไมรายงาน EIA ถึงผ่านทั้งที่ชาวบ้านคัดค้านและลักษณะของอาคารก็ดูเหมือนจะผิดกฎหมายควบคุมอาคารอย่างชัดเจน?

 

ตามคำฟ้อง ระบุว่าที่ดินที่ใช้ก่อสร้างอาคารไม่เหมาะสม และผิด พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เนื่องจากโครงการนี้เข้าข่ายเป็นอาคารขนาดใหญ่พิเศษ ซึ่งตามกฎกระทรวงฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 50 (พ.ศ. 2540) ออกตามความใน พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 2 วรรคสอง กำหนดให้อาคารขนาดใหญ่พิเศษต้องมีทางสาธารณะเข้าสู่ที่ตั้งโครงการที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 18 เมตร และที่ดินที่ติดถนนสาธารณะต้องกว้างไม่น้อยกว่า 12 เมตรเพื่อให้รถดับเพลิงเข้าออกได้สะดวก

มหากาพย์ "คอนโดทหารยักษ์" กลางชุมชน ชาวบ้านคัดค้านแต่ผ่านEIA

แต่คอนโดทหารยักษ์ แยกประชานุกูล มีทางเข้าทางซอยประชาชื่น 30 (ซอยสายสิน) ซึ่งมีเขตทางกว้างเพียง 12 เมตร ทำให้อาคารนี้ไม่ชอบด้วยกฎกระทรวง แม้ข้อเท็จจริงจะชัดเจนเช่นนี้ แต่รายงาน EIA กลับผ่านได้

 

ชาวบ้านได้คัดค้านและท้วงติงเรื่อง EIA มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมดที่เปรียบได้กับการ "ติดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก" หมายความว่าคณะกรรมการที่เห็นชอบอาจไม่พิจารณาข้อเท็จจริงให้รอบด้าน

 

ศาลปกครองกลางก็มีความเห็นสอดคล้องกันว่า คชก. ที่เห็นชอบรายงาน EIA ควรพิจารณาข้อเท็จจริงให้รอบด้าน ไม่ใช่พิจารณาเฉพาะข้อมูลที่ผู้ทำรายงานเสนอมาให้พิจารณาเท่านั้น จึงถือว่าการอนุมัติดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ประเด็นเรื่องการจราจรและการเข้าออกในซอยหมู่บ้านชวนชื่น บางซื่อ ที่เป็นทางตันและมีทางเข้าออกทางเดียว ย่อมส่งผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการเข้าออกของรถดับเพลิงที่ไม่สามารถรับประกันความสะดวกได้

 

เนื่องจากพื้นที่คับแคบและรถเบียดกัน ปากซอยประชาชื่น 30 ซึ่งเป็นทางเข้าออก มีลักษณะเป็นซอยเฉียง ไม่เหมาะสมสำหรับรถขนาดใหญ่ และยังติดกับแยกประชานุกูลที่ขึ้นชื่อเรื่องรถติดนรกแตก

มหากาพย์ "คอนโดทหารยักษ์" กลางชุมชน ชาวบ้านคัดค้านแต่ผ่านEIA

นอกจากนี้ ในกรมของสำนักปลัดกระทรวงกลาโหมก็มีรถบัสทหารเข้าออกจากตัวโครงการ ซึ่งแต่ละครั้งจะกีดขวางถนนประชาชื่น และเจ้าหน้าที่ รปภ. ของกรมต้องออกไปกั้นถนน และเคยมีอุบัติเหตุรถบัสเฉี่ยวชนด้วย

 

ความเดือดร้อนต่อชุมชนที่ไม่มีใครรับผิดชอบ?

การก่อสร้างโครงการในพื้นที่ชุมชนแห่งนี้ได้สร้างผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชนอย่างรอบด้านและรุนแรง ผู้พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชวนชื่น กล่าวว่าบ้านนี้เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ อายุ 40 กว่าปี มีบ้านเรือนประมาณเกือบ 500 หลังคาเรือน คน

 

ส่วนใหญ่ที่พักอาศัยก็จะเป็นคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เส้นทางสัญจรมีทางเดียวและต้องใช้รวมกันกับหลายหน่วยงาน ทั้ง ร.พ. และผู้พักอาศัยของสำนักปลัดกลาโหม

 

จากเดิมที่พักอาศัยของสำนักปลัดกลาโหมมีอยู่ 300 ห้อง แต่จะมาเพิ่มเป็น 644 ห้อง มีกำลังพล 3,000 คนย้ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่ มีรถบัสเข้า-ออกรับส่ง 40 คัน เมื่อฝนตกลงมาน้ำก็จะท่วมหนักกว่าเดิม รถก็จะติดเพิ่ม คนแก่จะต้องไปหาหมอก็จะได้รับความเดือดร้อนชาวบ้าน

 

การขนส่งวัสดุด้วยรถบรรทุกขนาดใหญ่ ทำให้การจราจรในชุมชนและบริเวณทางเข้าออกโรงพยาบาลติดขัดอย่างหนัก แม้กระทั่งรถฉุกเฉินก็ต้องติดอยู่หลังกรวยจราจรที่ถูกย้ายเปิดทางให้รถปูนเข้าออกตามอำเภอใจ ทำให้คนมาใช้บริการ รพ. จำนวนมากอาจไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้ทันเวลา

ชุมชนหมู่บ้านชวนชื่นต้องทนรับเสียงดังและแรงสั่นสะเทือนจากการตอกเสาเข็มจนบ้านแตกร้าว เสา ผนัง ฝ้า พื้นเสียหายซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่มีมาตรการเยียวยาที่เป็นรูปธรรม ฝุ่นละออง กลิ่นเหม็นจากเครื่องจักรและน้ำเสีย ปนเปื้อนในอากาศและทางน้ำของชุมชน

มหากาพย์ "คอนโดทหารยักษ์" กลางชุมชน ชาวบ้านคัดค้านแต่ผ่านEIA

ส่งผลให้เกิดโรคทางเดินหายใจ กกระทบเด็กและผู้สูงอายุซ้ำซาก ขณะที่ปัญหาน้ำท่วมขังยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม เพราะการก่อสร้างไปขวางทางระบายน้ำเดิมที่แออัดอยู่แล้ว ทำให้ปัญหาน้ำท่วมขังรุนแรงขึ้นกว่าเดิม

 

เมื่อโครงการแล้วเสร็จ บ้านเรือนกว่า 40 หลังจะถูกเงาตึกบังแดดเกือบตลอดวัน ส่งผลต่อการใช้ชีวิตและการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ของหลายครัวเรือน กลายเป็นภาระค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้ ชาวบ้านกลับต้องรับผลกระทบเพียงฝ่ายเดียว

 

ทุกครั้งที่เจรจา ชาวบ้านจะบอกว่า พวกเขาไม่เคยไว้ใจหน่วยงานใด ถูกเอาเปรียบมาตลอด หมู่บ้านต้องทำทุกอย่างด้วยงบและกำลังของหมู่บ้านมาโดยตลลอด ไม่มีหน่วยงานใดมาช่วย หรือช่วยก็ช่วยน้อยมาก ไม่เคารพพื้นที่และผู้คนที่อยู่มาก่อน

 

ช่องโหว่กฎหมายขนาดใหญ่ที่ต้องสังคายนาทั้งหมด

ในขณะที่ประชาชนหรือภาคเอกชนทุกคนต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร มาตรา 21 ที่กำหนดให้ต้องขออนุญาตเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อนการก่อสร้าง แต่กลับมีกฎกระทรวงอีกชุดหนึ่งที่ยกเว้นขั้นตอนการขออนุญาตให้กับหน่วยงานราชการ

 

โดย "กฎกระทรวงว่าด้วยการยกเว้น ผ่อนผัน หรือกำหนดเงื่อนไขในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. 2550" ข้อ 2 ได้ระบุให้อาคารบางประเภทของหน่วยงานรัฐ ได้แก่ อาคารของกระทรวง ทบวง กรม ที่ใช้ในราชการหรือใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ อาคารของราชการส่วนท้องถิ่น อาคารขององค์การของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย และโบราณสถาน วัดวาอาราม หรืออาคารต่างๆ ที่ใช้เพื่อการศาสนา ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขออนุญาตตามมาตรา 21, 32, 33 และ 34

 

นี่คือจุดที่ต้องตั้งคำถามว่าการที่อาคารของหน่วยงานราชการไม่ต้องขออนุญาตก่อสร้างนั้น เป็นการลดกลไกการควบคุม และเปิดช่องให้หน่วยงานรัฐสามารถก่อสร้างตามอำเภอใจได้หรือไม่ ที่สำคัญคือการที่หน่วยงานรัฐไม่ต้องขอใบอนุญาต

 

ทำให้เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น การแก้ไขให้ถูกต้องต้องใช้เวลานานและมีการฟ้องร้องกันในศาล ซึ่งในกรณีตึกประชานุกูลนี้ แม้ประชาชนจะคัดค้านตั้งแต่โครงการยังไม่เริ่มก่อสร้าง แต่คดีความก็ยังไม่สิ้นสุด ขณะที่งบประมาณได้ถูกจ่ายไปแล้ว และผลกระทบ รวมถึงความเสียหาย ก็เกิดขึ้นแล้ว

 

ปัญหาเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เราเคยเห็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับอาคารของราชการที่มีปัญหาหลายครั้ง เช่น ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ถล่มลงมา หรืออาคารรัฐสภาที่ก่อสร้างโดยที่ที่จอดรถไม่เพียงพอ ไม่ตรงกับข้อบัญญัติ กทม. ว่าด้วยที่จอดรถ ทำให้เกิดปัญหาหน่วยงานที่มาประชุมต้องไปจอดรถริมถนน กีดขวางทางเข้าบ้านเรือนประชาชน

 

การที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นได้ช่วยตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนที่อาคารจะสร้างเสร็จ อาจช่วยป้องกันไม่ให้ปัญหาเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่โตที่ต้องไปฟ้องร้องในศาลและมีเรื่องงบประมาณ sunk cost เข้ามาพัวพัน ปัญหาเหล่านี้เกิดจากข้อบกพร่องตั้งแต่การออกแบบ การจัดซื้อจัดจ้าง และผู้รับเหมา

 

แต่ไม่มีใครสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ เพราะกฎหมายเปิดช่องว่างไว้อย่างโจ่งแจ้ง ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร การขออนุญาตก่อสร้าง หรือกฎหมายผังเมือง ล้วนมีข้อยกเว้นให้หน่วยงานรัฐไม่ต้องขออนุญาต

 

ปัญหาช่องว่างทางกฎหมายที่ให้อภิสิทธิ์หน่วยงานรัฐนั้น "ต้องสังคายนาทั้งหมด" นี่ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะรายโครงการ แต่เป็นปัญหาเชิงระบบ ซึ่งเป็นช่องว่างในกฎหมายหลายฉบับที่เปิดทางให้หน่วยงานรัฐใช้สิทธิพิเศษในการก่อสร้างหรือดำเนินโครงการโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนที่ประชาชนทั่วไปหรือภาคเอกชนต้องปฏิบัติตาม ถือเป็นกฎหมายที่ให้อภิสิทธิ์รัฐในการหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ

 

ทำไมคนธรรมดาต้องทำตามขั้นตอนทุกอย่าง แต่หน่วยงานรัฐกลับมีสิทธิพิเศษเหนือกฎระเบียบที่ตัวเองออกไว้?

 

แล้วประชาชนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าทุกโครงการของรัฐโปร่งใส ปลอดภัย และไม่กระทบชุมชนหรือสิ่งแวดล้อม? สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าระบบกฎหมายทั้งหมดต้องถูกทบทวนใหม่หมดอย่างจริงจัง เพื่อให้กฎหมายอยู่ภายใต้หลักความเสมอภาค และไม่มีใคร แม้แต่รัฐเอง ที่จะอยู่เหนือการตรวจสอบได้

ข่าวล่าสุด

งานเข้า! EU สอบสวน Google ข้อหาผูกขาดเนื้อหาให้กับ AI ของบริษัท