กต.แถลงจี้เขมรปลดธง-รื้อวัด
กระทรวงการต่างประเทศออกแถลงการณ์ยืนยัน "วัดแก้วสิกขาคีรีศวร" อยู่ในเขตไทย พร้อมให้เขมรรื้อวัด-ปลดธงออก ขณะที่ทหารไทยสับเปลี่ยนกำลังชายแดนต่อเนื่อง
กระทรวงการต่างประเทศออกแถลงการณ์ยืนยัน "วัดแก้วสิกขาคีรีศวร" อยู่ในเขตไทย พร้อมให้เขมรรื้อวัด-ปลดธงออก ขณะที่ทหารไทยสับเปลี่ยนกำลังชายแดนต่อเนื่อง
เมื่อเวลา 17.42 น. วันที่ 31 ม.ค. เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้เผยแพร่แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศต่อกรณีธงชาติกัมพูชาที่ปรากฏอยู่เหนือวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ โดยระบุว่า ตามที่กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งราชอาณาจักรกัมพูชามีคำประกาศ ลงวันที่ 25 ม.ค. 2554 เกี่ยวกับธงกัมพูชาที่ปรากฏอยู่เหนือ “วัดแก้วสิกขาคีรีศวร” นั้น กระทรวงการต่างประเทศขอแถลง ดังนี้
1. ตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543 อนุสัญญาและสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1904 และ ค.ศ. 1907 และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้สัญญาทั้งสองฉบับ ถือเป็นเอกสารทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการกำหนดเขตแดน ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่ยอมรับข้ออ้างของกัมพูชาว่าแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เป็นเอกสารที่จะกำหนดเขตแดน
2. กัมพูชาได้ยอมรับในคำประกาศฉบับดังกล่าวว่า คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อปี 2505 (ค.ศ.1962 ) มิได้ตัดสินในเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา
3. ประเทศไทยยืนยันว่า “วัดแก้วสิกขาคีรีศวร” ตั้งอยู่ในอาณาเขตไทย และเรียกร้องให้ประเทศกัมพูชารื้อถอนวัดแก้วฯ และปลดธงกัมพูชาที่ประดับเหนือวัดแก้วฯ ข้อเรียกร้องนี้เป็นการย้ำถึงการประท้วงหลายครั้งของไทยต่อกัมพูชาเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ในวัดแก้วฯ และบริเวณโดยรอบ ซึ่งล้วนเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย
4. กระทรวงการต่างประเทศยืนยันอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นของไทยที่จะแก้ไขปัญหาเขตแดนกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยสันติวิธี ภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา การกำหนดเส้นเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารยังคงเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างการเจรจาภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการฯ
ขณะที่บรรยากาศบริเวณด่านเก็บค่าธรรมเนียมอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้มีทหารไทยสังกัดกองกำลังสุรนารี (กกล.สุรนารี) กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) พร้อมอาวุธครบมือ มาตั้งด่านตรวจรถทุกชนิด และประชาชนที่ผ่านเข้า-ออกบริเวณดังกล่าวอย่างเข้มงวด โดยในช่วงนี้มีทหารไทยพร้อมอาวุธเดินทางโดยรถยนต์ปิกอัพและรถบรรทุกทหารผ่านเข้า-ออกในพื้นที่ดังกล่าวอยู่ตลอดเวลา


