'คารม'เปิดแผนแก้ไฟป่าชี้'พิธา'ด้อยค่านายกฯ-ดิสเครดิตรัฐบาล
'คารม พลพรกลาง'กางแผนจัดการไฟป่าภาคเหนือ ชี้'พิธา'ไม่รู้กาลเทศะเป้าหมายชัดด้อยค่านายกฯเศรษฐาดิสเครดิตรัฐบาล
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ฝากถามนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีว่า ได้ประกาศให้จังหวัดเชียงใหม่เป็นพื้นที่ภัยพิบัติแล้วหรือไม่ หลังประสบปัญหาไฟป่าเกิดปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 และยังเห็นว่ารัฐบาลไม่มีแผนรับมือแก้ไขปัญหานี้ ว่า
แท้จริงแล้ว ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 มาตรา 6 มีคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติหรือ (กปภ.ช.)โดยมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรี ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานและมาตรา 7 ระบุไว้ให้กปภ.ช เป็นผู้กำหนดนโยบายในการจัดทำแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติอยู่แล้ว
นายคารม กล่าวต่อว่า เรื่องการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับชาติไม่ได้เป็นไปตามที่นายพิธาออกมาให้ข้อมูลโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ทำตามนโยบายของรัฐบาลเป็นลำดับ ได้มีหนังสือถึง ผู้ว่าการจังหวัดทุกจังหวัด ตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2566 เรื่องการเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ปี 2566-2567 และในเขตกรุงเทพมหานครก็ได้มีหนังสือฉบับลงวันที่ 9 ธันวาคม 2566เรื่อง การเตรียมการป้องกัน และแก้ไขปัญหาฝุ่นละองขนาดเล็ก PM2.5 ของปี 2566-2567 เช่นกัน
ต่อมาเมื่อนายอนุทินเห็นว่าสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็กรุนแรงขึ้นจึงได้มีหนังสือลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้อำนวยการจังหวัดทุกจังหวัด เรื่อง เฝ้าระวัง ทบทวนและจัดทำแผนเผชิญเหตุ ป้องกันลดการเกิดมลพิษจากแหล่งกำเนิดต่างๆ เช่นการเผาในที่โล่ง การเผาในพื้นที่เกษตร ซึ่งแสดงถึงการเอาใจใส่ต่อปัญหาดังกล่าวอย่างจริงของรัฐบาล เพราะเป็นความเดือดร้อนของประชาชนทั้งประเทศ
แต่ปัญหาเรื่องไฟป่านั้น มีสาเหตุมาจากหลายสาเหตุเช่น ปัญหาพี่น้องประชาชนที่เข้าไปเก็บของป่า และประมาททำให้เกิดไฟไหม้ ทั้งโดยตั้งใจและประมาท ส่วนเรื่องปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กนั้นก็มีสาเหตุมาจากหลายสาเหตุเช่นกันทั้งภายในประเทศและจากประเทศเพื่อนบ้านซึ่งนายกรัฐนตรีก็ได้มีข้อสั่งการให้มีการตั้งทีมไทยแลนด์ เพื่อประสานการแก้ปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านแล้วโดยได้มีการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ
ส่วนเรื่องที่นายพิธา กล่าว่าหากพรรคก้าวไกล ได้เป็นรัฐบาล จะให้องค์การปกครองส่วนท้องเข้ามาดำเนินการเองจะมีประสิทธิภาพกว่าโดยจัดงบประมาณให้แห่งละ 3 ล้านบาท เรื่องนี้ จะถูกหรือผิดหรือมีประสิทธิภาพหรือไม่ ก็ต้องรอให้พรรคก้าวไกลมาเป็นรัฐบาลก่อน แต่เรื่องสาธารณภัยตามกฎหมายนั้นมีหลายอย่างเช่น ที่เจออยู่ปัจจุบันคืออัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย และภัยแล้ง ซึ่งความสามารถในการจัดการเรื่องภัยพิบัติ ทั้งด้านความรู้ อุปกรณ์เครื่องมือ บุคคลากร รัฐบาลส่วนกลางจะมีความพร้อมในการแก้ไขมากกว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งการที่จะประกาศว่าจังหวัดไหน เป็นเขตภัยพิบัติหรือไม่ ต้องพิจารณาให้รอบครอบเพราะมีผลหลายด้านและการที่รัฐบาลใช้งบกลางในการแก้ไขปัญหา จุดมุ่งหมายก็คือการแก้ไขปัญหาอันเดียวกัน ไม่ได้แตกต่างแต่อย่างใด
การที่นายพิธาในฐานะส.ส.ลงพื้นที่เพื่อรับทราบปัญหาเพื่อนำไปพูดในสภาฯ ตามหน้าที่นั้นเป็นเรื่องที่ดีแต่ก็ต้องเปิดใจให้กว้างและรับฟังข้อเท็จจริงจากรัฐบาลขณะนี้ งบประมาณปี 2567 อยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภาฯ แต่รัฐบาลก็สามารถบริหารงบประมาณในการแก้ปัญหาให้ประชาชนได้ดีระดับหนึ่ง
"ความจริงการที่นายพิธาลงพื้นที่ในจังหวัดภาคเหนือขณะที่นายกฯ ปฎิบัติภารกิจอยู่ในพื้นที่แม้ไม่ผิดอะไรแต่ในทางการเมืองก็คือการแย่งซีนกับนายกรัฐมนตรีและความไม่รู้กาลเทศะจุดประสงค์ชัดเจนเพื่อด้อยค่านายกฯ ทำลายความน่าเชื่อถือรัฐบาล ไม่ใช่อยากลงพื้นที่ดูปัญหาที่แท้จริง เพื่อนำไปพูดในสภาฯ เพราะข้อมูลเหล่านี้หาได้ไม่ยากจาก สส.ของก้าวไกลในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีข้อมูลอยู่แล้วแต่เป็นเรื่องวุฒิภาวะหรือไม่รู้ว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะสม“ นายคารม กล่าว