บช.ภ.4ตรวจสำนวนขั้นสุดท้ายก่อนส่งฟ้องอดีตผู้การตำรวจเลยอมเงินลูกน้อง
ขอนแก่น-ตำรวจภาค4ตรวจสำนวนฟ้องอดีต"ผบก.ภจว.เลย"อมเงินลูกน้อง 240ล้านบาทก่อนยื่นอัยการสัปดาห์หน้า รองผบช.ภ.4เห็นใจผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นหนี้บางรายถึงกับล้มป่วยขอทุกคนอดทนและใช้จ่ายประหยัด
ขอนแก่น-ตำรวจภาค4ตรวจสำนวนฟ้องอดีต"ผบก.ภจว.เลย"อมเงินลูกน้อง 240ล้านบาทก่อนยื่นอัยการสัปดาห์หน้า รองผบช.ภ.4เห็นใจผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นหนี้บางรายถึงกับล้มป่วยขอทุกคนอดทนและใช้จ่ายประหยัด
เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2561 เวลา 15.30น. ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 จ.ขอนแก่น พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รอง ผบช.ภ.4 ในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนและสอบสวนคดีการทุจริตเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจภูธรจังหวัดเลย เรียกตรวจสอบสำนวนการสอบสวนเพื่อเอาผิดกับ พล.ต.ต.พล.ต.ต.สุทิพย์ ผลิตกุศลธัช รอง ผบช.สำนักงานกำลังพล ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันฉ้อกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผบก.ภ.จว.เลย จากกรณีการทุจริตโครงการรวมหนี้ และบริหารหนี้ของสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจภูธร จ.เลย โดยมีข้าราชการตำรวจ ภ.จว.เลย เสียหาย รวม 196 ราย คิดเป็นยอดเงินรวม 240 ล้านบาท เพื่อส่งสำนวนสั่งฟ้องต่ออัยการจ.ขอนแก่น
พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รอง ผบช.ภ.4 กล่าวว่า คดีนี้ พนักงานสอบสวนได้ทำการรวมคดีดังกบล่าวทั้งหมดที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกับ พล.ต.ต.สุทิพย์ คือที่ จ.เลย,หนองบัวลำภูและที่ จ.ขอนแก่น สำนวนการสอบสวนทั้งหมด 30 แฟ้ม รวมกว่า 10,000แผ่นที่ถือเป็นการทำงานที่รัดกุมในภาพรวมทั้งหมด การสั่งฟ้องจะมีขึ้นเป็นสัปดาห์หน้า มีพล.ต.ต.สุทิพย์ เป็นผู้ต้องหาที่ 1 , พ.ต.อ.เฉลิมพล ยอดประทุม ผู้ต้องหาที่ 2 , พ.ต.อ.อุดร ชูก้าน และ เป็นพลเรือนทั่วไปอีก 2 คน รวมผู้ต้องหาทั้งหมด5คน
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว ซึ่งในการส่งสำนวนสั่งฟ้อง ผู้ต้องหาทั้ง 5 จะต้องมารายงานตัว และเข้ามอบตัวในชั้นอัยการและขอประกันในชั้นศาล หากไม่มารายงานตัวก็จะถูกจับกุมทันทีและการพิจารณาให้ประกันตัวหรือไม่เป็นดุลยพินิจของศาล เนื่องจากตำรวจได้ส่งสำนวนสั่งฟ้องเรียบร้อยแล้ว
“การดำเนินงานทุกขั้นตอนเรารัดกุม ทำงานเป็นลำดับขั้นตอน วันนี้การทำงานเสร็จแล้วในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมด โดยเฉพาะผู้ต้องหาทั้ง 5คน รวมผู้การสุทิพย์ ที่เป็นแกนนำหลักของการหลอกหลวงประชาชน ที่ผ่านมาผู้การสุทิพย์กล่าวอ้างว่าจะนำเงินมาคืน หรือมาชดใช้ให้กับตำรวจและชาวบ้านที่เสียหาย ก็ไม่มีมาปรากฏเป็นการกล่าวอ้างมาตลอด วันนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้มีคำสั่งให้ ผู้การสุทิพย์ ออกจากราชการแล้ว ซึ่งจะต้องเข้าสู่กระบวนการของกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ในส่วนของคดีแพ่งนั้นได้มีการทำเรื่องให้กับอัยการ จ.ขอนแกน สั่งฟ้องในคดีแพ่งด้วยเพื่อให้ศาลได้พิจารณาในการให้ผู้ต้องหานั้นได้ชดเชยค่าเสียหายให้กับผู้เสียหายทั้งหมดด้วย”
รอง ผบช.ภ.4 กล่าวต่ออีกว่า ได้ทราบข่าวกรณีข้าราชการตำรวจที่เข้าร่วมโครงการรวมหนี้และบริหารหนี้กับ พล.ต.ต.สุทิพย์ ที่ขณะนี้ล้มป่วยลงและเข้ารับการรักษาที่ รพ.เลย ในฐานะผู้บังคับบัญชาต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และขอให้อดทน อดกลั้น มีวินัย ใช้จ่ายอย่างประหยัดและสู้กันต่อไป ที่ผ่านมา บช.ภ.4 ได้ให้การช่วยเหลือทั้งในเรื่องของการหารายได้เสริมให้กับครอบครัวข้าราชการตำรวจทั้ง 196 นายที่ได้รับความเดือดร้อน การอนุมัติเงินกู้ฉุกเฉินเพื่อมาใช้จ่ายในครอบครัว การเจรจาร่วมกับสถาบันการเงินที่ข้าราชการตำรวจเป็นหนี้ จนมีการชำระผ่อนจ่ายในยอดเงินที่สามารถชำระได้ เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องสุดวิสัย เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นและเป็นเรื่องที่ข้าราชการตำรวจทั้ง 196 นาย ที่ไปกู้เงินกับสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจ ภ.จว.เลย เพื่อนำไปใช้หนี้แต่กลับนำไปลงทุนและเข้าร่วมโครงการกับ พล.ต.ต.สุทิพย์ ที่วันนี้ได้เกิดปัญหาขึ้นจนกลายเป็นคดีความดังกล่าว ซึ่งการดำเนินคดีทางอาญาก็เข้าสู่ชั้นศาล ทางแพ่งก็เข้าสู่ชั้นศาล ทางวินัย ซึ่ง สตช.ได้ให้ พล.ต.ต.สุทิพย์ ออกจากราชการแล้ว
“ผู้บังคับบัญชาทุกระดับมีการทวงถามและติดตามเงินกับ พล.ต.ต.สุทิพย์ มาโดยตลอดแต่เจ้าตัวไม่ยอมใช้เงินคืนแต่อย่างใด บช.ภ.4 จึง มีการประสาน ปปง.ในการตรวจสอบในเรื่องของการฟอกเงินและเครือข่ายที่ พล.ต.ต.สุทิพย์นำเงินไปลงทุน ซึ่งพบว่ามีรวมกว่า 100 ราย ทั้งหมดถูกสอบปากคำและตรวจสอบทิศทางและเส้นทางการเงินแล้ว และเข้าสู่ขั้นตอนของการยึดอายัดดังนั้นแต่ละรายหากไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงิน หรือที่มาของทรัพย์สินได้ก็จะถูกยึดทรัพย์ทันที” รอง ผบช.ภ.4 กล่าว


