สทนช.จับตาน้ำเขื่อนมากกว่าปี'54
เลขาฯ สทนช. เผย ปริมาณน้ำปีนี้ถือว่าสูงกว่าปี 2554 แต่เฉพาะอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เพียงบางแห่ง เช่น เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ควบคุมได้
โดย...ทีมข่าวภูมิภาคโพสต์ทูเดย์
ล่วงเข้าฤดูฝน คำถามคาใจที่มักไถ่ถามกันมากคือ ปีนี้น้ำจะท่วมหรือไม่ จากบทเรียนเมื่อครั้งอุทกภัยปี 2554 ที่เพิ่งผ่านไปไม่นานนัก
สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำล่าสุดว่า แม้ปริมาณฝนในช่วงต้นเดือน ส.ค.อาจจะไม่มาก ภาคกลางและภาคเหนือสถานการณ์ยังไม่น่ากังวล แต่สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขื่อนขนาดกลางซึ่งปริมาณน้ำที่มากกว่าความจุมีจำนวนมากกว่า 50 แห่ง ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ต้องวิเคราะห์ความสมดุลในการรับน้ำและระบายน้ำ นอกจากนี้อ่างเก็บน้ำขนาดเล็กกว่า 1,000 แห่ง ก็ได้มอบหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าไปดูแลในเบื้องต้นก่อน หากจำเป็นต้องระบายน้ำฉุกเฉินยังมีเวลาเตรียมการ 1-2 สัปดาห์ ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดสถานการณ์ใด ณ วันนี้
ข้อกังวลซึ่งเป็นคำถามสำคัญคือ ปริมาณน้ำปีนี้มากกว่าปี 2554 ซึ่งเกิดน้ำท่วมใหญ่ เลขาฯ สทนช. อธิบายประเด็นนี้ว่าปริมาณน้ำเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา ถือว่าสูงกว่าปี 2554 แต่ก็เฉพาะอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เพียงบางแห่งเท่านั้น เช่น ในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ โดยในภาคกลางได้มีการเฝ้าระวังเรื่องแผนบริหารจัดการน้ำไม่ประมาท ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่ามีพายุเข้ามาประเทศไทยช่วงเดือน ส.ค.
สมเกียรติ กล่าวอีกว่า ได้มีการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำเชิงลึก ซึ่งต้องเฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 11 แห่ง ที่คาดการณ์ว่าอีก 1 เดือนข้างหน้า ปริมาณน้ำอาจจะสูงมากกว่านี้ จึงต้องมีมาตรการพร่องน้ำ โดยอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำมากกว่า 80-90% มี 2 แห่ง คือ ที่เขื่อนน้ำอูน จ.สกลนคร และที่เขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ซึ่งให้ความสำคัญเป็นกรณีพิเศษให้มีการระบายน้ำมากกว่านี้ โดย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ดำเนินการภายใน 5 วัน โดยก่อนระบายน้ำให้แจ้งผู้ว่าราชการจังหวัด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ก่อน 3 วัน เพื่อให้ประชาชนรับรู้ และจัดทำรายงานผลกระทบท้ายน้ำว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และหากระดับน้ำอยู่ในระดับวิกฤต นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้สั่งการ แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์น้ำโดยรวมขณะนี้อยู่ในเกณฑ์สีเหลืองหรือในระดับเตรียมการเท่านั้น
"ในวันที่ 3 ส.ค.นี้ จะมีการเปิดศูนย์เฉพาะกิจร่วมที่กรมชลประทาน โดยศูนย์ดังกล่าวจะดำเนินการร่วมกันตลอด 24 ชั่วโมง อย่างใกล้ชิด มีเจ้าหน้าที่ร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อให้ได้ข้อมูลชุดเดียวกัน"
สำหรับสถานการณ์น้ำแม่น้ำโขงนั้น เลขาฯ สทนช. กล่าวว่า มีการเร่งสูบน้ำระบายออก โดยที่จ.อุบลราชธานี ปริมาณน้ำลดลงแล้ว แต่ที่ จ.เลย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร ปริมาณน้ำมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น 70 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร เนื่องจากมวลน้ำอาจถูกปล่อยมาจากจีนและลาว จึงประสานกับ 2 ประเทศว่าจะมีปริมาณน้ำปล่อยลงมาจำนวนเท่าใด ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดเหล่านี้ได้รับทราบและแจ้งเตือนประชาชนแล้ว
ด้าน พงษ์เทพ เจริญวรรณ ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขื่อนศรีนครินทร์ เปิดเผยว่า ได้ระบายน้ำจากเขื่อนเป็นวันละ 9.97 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) จากเดิมที่ระบายวันละ 7.16 ล้าน ลบ.ม. โดยมีปริมาณน้ำ 85.99% ของความจุเขื่อน เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ผ่านมา 12.06% แต่ยังสามารถรับน้ำได้อีก 2,486.70 ล้าน ลบ.ม. ในขณะที่มีน้ำไหลเข้าเขื่อนวันละ 58.46 ล้าน ลบ.ม.
ขณะเดียวกัน จากการที่เขื่อนวชิราลงกรณ ระบายน้ำเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 34 ล้าน ลบ.ม. ส่งผลให้แม่น้ำแควน้อยล้นตลิ่งท่วมบางพื้นที่ของ อ.ทองผาภูมิ และ อ.ไทรโยค
ประเทศ บุญยงค์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลทองผาภูมิ กล่าวว่า ประชาชนที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำแควน้อยแจ้งว่า ปริมาณน้ำได้เอ่อล้นเข้าท่วมบริเวณท่าน้ำ สวนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ส่วนในพื้นที่เทศบาลฯ ไม่มีน้ำท่วมขัง เนื่องจากได้มีการวางแผนเตรียมลอกท่อก่อนเข้าสู่ฤดูฝนไว้แล้ว
ทินกร รัตนพัวพันธ์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานพิจิตร ได้แจ้งเตือนชาวนาในพื้นที่ลุ่มน้ำยมให้เร่งเกี่ยวข้าวให้แล้วเสร็จก่อนกลางเดือน ส.ค.นี้ เพราะหลังจากนี้คาดว่าปริมาณน้ำจะมากขึ้นเช่นเดียวกับทุกปี กลางเดือน ส.ค.จะมีร่องมรสุมที่จะพัดผ่านประเทศไทย หากมีฝนในภาคเหนือน้ำก็จะไหลหลากลงสู่แม่น้ำยมทำให้เกิดน้ำท่วมเป็นประจำเกือบทุกปี
ด้าน ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ฝนตกหนักในพื้นที่ภาคอีสานส่งผลให้ระดับน้ำบริเวณลุ่มน้ำชี-มูล มีระดับน้ำเพิ่มขึ้นจนทำให้เกิดน้ำท่วมขังและน้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ จ.ยโสธร ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี นครพนม และสกลนคร กรมชลประทานจึงจัดจราจรน้ำในแม่น้ำชีและแม่น้ำมูล ด้วยการเปิดบานระบายน้ำของเขื่อนต่างๆ ในแม่น้ำชีทุกแห่ง ติดตั้งเครื่องสูบน้ำและเครื่องผลักดันน้ำในพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อเร่งระบายน้ำจากแม่น้ำชีให้ไหลลงแม่น้ำมูลออกสู่แม่น้ำโขงโดยเร็ว พร้อมลดบานระบายน้ำเขื่อนราษีไศล จ.ศรีสะเกษ ชะลอน้ำจากแม่น้ำมูลและควบคุมไม่ให้เกิดผลกระทบบริเวณด้านเหนือเขื่อนราษีไศล หากปริมาณน้ำในแม่น้ำมูลที่ไหลมาจาก จ.นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์ มีปริมาณมาก จะยกบานระบายน้ำขึ้นทันที


