โรดแมปเดินหน้า นับถอยหลังสู่เลือกตั้ง
ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะได้รู้ว่าโรดแมปจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่
โรดแมปจะถูกยื้อออกไปหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าจะมีสมาชิก สนช.เข้าชื่อเพื่อยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างกฎหมายการได้มาซึ่งสว.
*******************************
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
มติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. เมื่อวันที่ 8 มี.ค.เป็นมติสำคัญที่สุดนับตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำการรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อปี 2557 เพราะเป็นการทำให้ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับผ่านกระบวนการทางนิติบัญญัติเป็นที่เรียบร้อย
กฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับที่ว่านั้นประกอบด้วย 1.การเลือกตั้ง สส. 2.การได้มาซึ่ง สว. 3.คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ 4.พรรคการเมือง โดยรัฐธรรมนูญบัญญัติว่าเมื่อกฎหมายทั้ง 4 ฉบับดังกล่าวประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาและมีผลใช้บังคับแล้วจะต้องดำเนินการจัดการเลือกตั้งภายใน 150 วัน
แต่กระนั้น เวลา 150 วันนั้นต้องบวกเพิ่มไปอีก เนื่องจาก สนช.แก้ไขเนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.ในประเด็นสำคัญ คือ ให้ร่างกฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นระยะเวลา 90 วัน เท่ากับการนับระยะเวลาเพื่อไปถึงวันเลือกตั้งจะเป็น 240 วัน นับแต่วันที่กฎหมายเลือกตั้ง สส.มีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการ
แม้การยื้อการเลือกตั้งออกไปอีก 90 วันจะทำให้เกิดกระแสถล่ม สนช.และ คสช.ในระยะหนึ่ง และนำมาซึ่งกระแสต่อต้าน คสช.ในระดับหนึ่ง แต่มาเวลานี้ดูเหมือนว่าบรรดาพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองต่างๆ เริ่มยอมรับสภาพที่เกิดขึ้น ดังจะเห็นได้จากการให้ความสนใจในการลงทะเบียนต่อ กกต. เพื่อจัดตั้งพรรคการเมือง
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายใต้กฎหมายเลือกตั้งจำนวน 4 ฉบับที่ผ่านสภาไปนั้น จะเห็นได้ว่าสร้างความได้เปรียบให้กับ คสช.พอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.
เดิมทีร่างกฎหมาย สว.ไม่ได้มีหน้าตาเหมือนกับที่ สนช.เพิ่งให้ความเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา เพราะคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ไม่ได้ให้มีการสมัคร สว.แบบสองประเภทตามที่ สนช.เห็นชอบ คือ การสมัครโดยอิสระ และการสมัครผ่านนิติบุคคล หรือจะเป็นกรณีการแบ่งกลุ่มอาชีพ กรธ.เสนอให้แบ่งเป็น 20 กลุ่ม แต่ สนช.ดัดแปลงให้เหลือเพียง 10 กลุ่ม
การที่ สนช.แก้ไขออกมาแบบนี้มีส่วนช่วย คสช.ในการสืบทอดอำนาจเป็นอย่างมาก กล่าวคือ บทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญกำหนดให้วุฒิสภาในวาระแรกเริ่มมีจำนวน 250 คน ได้แก่ 1.มาจากผู้บัญชาการเหล่าทัพจำนวน4 คน 2.คสช.สรรหาโดยตรง 200 คน และ 3.คสช.คัดเลือก 50 คนซึ่งมาจากบัญชีรายชื่อที่ผ่านระบบการได้มาซึ่ง สว.ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
สว.จำนวน 50 คน ในทางตัวเลขอาจไม่มาก แต่สำหรับในทางการเมืองแล้วเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร เพราะวุฒิสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญจะต้องเข้ามาร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย
ดังนั้น หากใช้สูตรการเลือก สว.แบบ กรธ.จะมีผลให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซงการเลือก สว.กันเองของผู้สมัครได้ จึงเป็นที่มาของการให้องค์กรนิติบุคคลเข้ามาร่วมเสนอชื่อ สว.ด้วย เพื่อที่อย่างน้อย คสช.ในฐานะผู้คัดกรองด่านสุดท้ายจะได้รู้หัวนอนปลายเท้าของว่าที่ สว.บ้าง
เมื่อกติกาที่มีอยู่เป็นประโยชน์แก่ คสช. จึงไม่แปลกที่บรรดาผู้มีอำนาจต่างยินดีปรีดากับมติของ สนช.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัญญาณที่บอกชัดเจนว่าโรดแมปกำลังเดินหน้าเพื่อไปสู่การเลือกตั้ง
ตามขั้นตอนเมื่อ สนช.เห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.แล้ว จะต้องส่งร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวให้กับนายกรัฐมนตรี โดยที่นายกฯ ยังไม่สามารถนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายได้ทันที แต่ต้องเก็บไว้กับตัวเป็นเวลา 5 วัน เพื่อรอดูว่าจะมีสมาชิก สนช.เข้าชื่อยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่
ถ้าไม่มีใครเข้าชื่อ นายกฯ สามารถดำเนินการตามขั้นตอนได้ทันที แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น นายกฯ ต้องชะลอกระบวนการนำร่างกฎหมายขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
เท่ากับว่าหากโรดแมปจะถูกยื้อออกไปหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าจะมีสมาชิก สนช.เข้าชื่อเพื่อยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.หรือไม่เท่านั้น
ประเด็นเกี่ยวกับการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่เป็นประเด็นขึ้นมาเลย ถ้า “มีชัย ฤชุพันธุ์” ประธาน กรธ.ไม่ได้ตั้งข้อสังเกตผ่านสื่อมวชนว่าการให้สมัคร สว.ผ่านองค์กรนิติบุคคลได้อาจมีผลให้ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องการให้ประชาชนสามารถสมัคร สว.ได้อย่างอิสระ
อย่างไรก็ตาม พอมาดูท่าทีของ สนช.ในฐานะผู้มีสิทธิเสนอคดี ปรากฏว่ากลับนิ่งเฉยต่อท่าทีของประธาน กรธ.พอสมควร
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ สนช.ต้องการสงวนท่าทีเอาไว้ก่อน เนื่องจากหาก สนช.แสดงอาการที่จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญทันทีที่ สนช.ผ่านกฎหมายดังกล่าว ย่อมถูกทำให้มองได้ว่า สนช.กำลังมีเจตนาแอบแฝงในบางประการ
เพราะฉะนั้นตลอดทั้งสัปดาห์นี้ จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะได้รู้ว่าโรดแมปจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่ ถ้า สนช.ไม่ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ทุกอย่างก็จบ แต่หากเป็นในทางตรงข้าม การเลือกตั้งที่เคยคิดว่าจะมีขึ้นในต้นปี 2562 อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว


