ย้อนรอยคดีประวัติศาสตร์ อุ้มฆ่า"สมชาย นีละไพจิตร"
ย้อนรอย 6 ปีคดีประวัติศาสตร์ 5 ตำรวจกองปราบปรามตกเป็นจำเลยอุ้มฆ่า "สมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม โดยศาลอุทธรณ์นัดฟังคำพิพากษา 24ก.ย.นี้....
ย้อนรอย 6 ปีคดีประวัติศาสตร์ 5 ตำรวจกองปราบปรามตกเป็นจำเลยอุ้มฆ่า "สมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม โดยศาลอุทธรณ์นัดฟังคำพิพากษา 24ก.ย.นี้....
วันนี้ (24ก.ย.) ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีประวัติศาสตร์ 5 ตำรวจกองปราบปรามตกเป็นจำเลยในคดีอุ้มฆ่า "สมชาย นีละไพจิตร" ทนายความ ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม หลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง แต่ให้จำคุก พ.ต.ต.เงิน ทองสุก ในข้อหาขืนใจ ทำให้สูญเสียอิสรภาพเท่านั้น
คดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 20.30น. 12 มีนาคม 2547 ขณะที่ สมชาย นีละไพจิตร ทนายความ ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม กำลังขับรถฮอนด้า ซีวิค สีเขียว มาตามถนนรามคำแหง หลังเดินทางไปพบเพื่อนที่ โรงแรมชาลีนา ในซอยมหาดไทย รามคำแหง แต่เพื่อนไม่มาตามนัด
เขาไม่รู้ตัวว่าระหว่างเดินทางออกจากโรงแรม มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวน 5-6 คน ขับรถยนต์สะกดรอยติดตามมาอย่างกระชั้นชิด กระทั่งถึงบริเวณหน้าร้านแม่ลาปลาเผา รถของสมชายถูกชนท้ายโดยรถเก๋งสีดำของกลุ่มชายฉกรรจ์ เขาลงจากรถเพื่อมาพูดคุย แต่ทว่ากลับถูกตอบโต้ด้วยการชกเข้าที่ท้องและดึงตัวเข้าไปในรถเก๋งคันนั้นก่อนจะขับหายไปในความมืด
สมชายไม่ได้กลับบ้านตั้งแต่วันนั้น......
ใครที่รู้จักสมชาย นีละไพจิตร ต่างก็รู้ว่าทนายสมชายเป็นคนทำงานจริงจัง รักความเป็นธรรม มีภรรยา อังคณา นีละไพจิตร และลูกๆ อีก 5 คน คือ สุดปรารถนา ประทับจิต กอปร์กุศล ครองธรรม และกอร์ปธรรม เป็นครอบครัวที่อยู่เบื้องหลังการทำงานอย่างเสียสละของเขา
สมชายเป็นทนายความในคดีสำคัญหลายคดี โดยเฉพาะคดีทางภาคใต้ที่ประชาชนถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับการก่อการร้ายจนจำเลยพ้นจากข้อหาได้เกือบทุกคดี เช่น คดีกูเฮงเผาโรงเรียนเมื่อปี 2537 คดีหมอแวพัวพันกลุ่มก่อการร้ายเจไอ
หลังสมชายหายตัวไปในคืน 12มี.ค. อังคณา นีละไพจิตร ภรรยาได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน ของสถานีตำรวจนครบาลบางยี่เรือว่า สมชาย ออกจากบ้านพัก มาตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค. 2547 แล้วขาดการติดต่อกับทางบ้าน เกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายขอให้ทางเจ้าหน้าที่ ตำรวจสอบสวนและติดตามตัวด้วย
เนื่องจากก่อนหน้านี้ สมชาย เข้าไปเป็นทนายให้กับผู้ต้องหาที่ตำรวจจับกุมได้ในภายหลังจากเหตุการณ์ลอบวางระเบิดโรงเรียนกว่า 20 แห่ง เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2547 และการปล้นปืน 400กระบอก จากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จ.นราธิวาส
ทนายสมชายพบว่าผู้ต้องหาทั้ง 5 ที่ถูกคุมตัวอยู่ที่กองปราบปรามและสถานที่ควบคุมที่ตัวโรงเรียนตำรวจนครบาลนั้นถูกตำรวจทำร้ายร่างกายอย่างน่าสังเวช ทั้งยังถูกขู่บังคับให้รับสารภาพ เขาออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกกฎอัยการศึก ทั้งยังล่า 50,000 รายชื่อ เพื่อขอแก้ไขกฎหมายนี้ และออกมาเปิดโปงการทรมานผู้ต้องหาในคดีปล้นปืนเผาโรงเรียน
นอกจากนี้ยังขอให้มีการย้ายผู้ต้องหาทั้ง 5 ให้พ้นจากการควบคุมของตำรวจ ซึ่งศาลอาญาเห็นด้วยคำคัดค้านของคณะทนายความ และมีคำสั่งให้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปควบคุมไว้ในเรือนจำ ยังผลให้เจ้าพนักงานสอบสวนคดีนี้และผู้เกี่ยวข้องบางคน แสดงความไม่พอใจ
ระหว่างนั้น สมชายและครอบครัวต้องเผชิญกับภาวะที่ถูกข่มขู่สารพัด เขาออกปากเตือนเพื่อนทนายความด้วยกัน ให้ระวังตัวว่าจะถูกเจ้าหน้าที่อุ้ม
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ระบุภายหลังการหายตัวของทนายสมชายว่า "จากการสืบสวนและหาข่าวเบื้องต้น รับรองว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง ต้องขอสื่อมวลชนว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับภาพพจน์ประเทศ อย่าด่วนสรุป เพราะเท่าที่สืบสวนเบื้องต้นมันยังไม่ปรากฏชัดเลยว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้อง"
26 มี.ค. 2547 สภาทนาย ความได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน ติดตามกรณีการหายตัวไปของ สมชาย เพื่อดำเนินการตรวจสอบและรวบรวม ข้อเท็จจริงทั้งหมด
7 เม.ย. 2547 พนักงานสอบสวนได้มีการขออนุมัติหมายจับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม จำนวน 5 นายต่อศาลอาญา ได้แก่ พ.ต.ต.เงิน ทองสุก, พ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์, จ.ส.ต.ชัยเวง พาด้วง, ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน โดยพนักงาน สอบสวนและพนักงานอัยการ มีความเห็นสั่งฟ้อง คดีผู้ต้องหาทั้ง 5 คนหลังประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ และบันทึกการโทรศัพท์เข้าออกพบว่า ตำรวจทั้ง 5 นายคือกลุ่มที่ขับรถติดตาม สมชายในคืนที่หายตัวไป ซึ่งจำเลยทั้ง 5 คน ได้ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี
ต่อมาในวันที่ 29 ตุ.ค. 2547 สภาทนายความจึงได้มีหนังสือถึงคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อขอให้พิจารณารับโอนสำนวนคดีที่ นายสมชาย ถูกประทุษร้าย และสูญหายเป็นคดีพิเศษ และมีหนังสือลงวันที่ 14 มีนาคม 2548 ถึง นายกรัฐมนตรี ขอให้แต่งตั้งคณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริง กรณีการหายสาบสูญของนายสมชาย มซึ่ง พลตำรวจเอกชิดชัย วรรณสถิต รองนายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาเห็นชอบให้ส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณา
กระทั่ง 12 ม.ค. 2549 ศาลอาญาจึงได้พิพากษาจำคุก พ.ต.ต.เงิน ทองสุก 3 ปีเพียงคนเดียว ในข้อหาข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใดโดยใช้กำลังประทุษร้าย ขณะที่ ผู้ต้องหาที่เหลือให้ยกฟ้อง เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่เพียงพอ
พ.ต.ต.เงินได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลก่อนที่จะประกันตัวออกไป ซึ่งพ.ต.ต.เงินได้ถูกให้ออกจากราชการ และมาช่วยญาติทำงาน ในบริษัท ยูบีซี ร่วมค้า รับเหมา งานก่อสร้าง เขื่อนแควน้อย อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก โดยในเวลาต่อมา ทางญาติได้แจ้งความที่ จ.พิษณุโลกว่า พ.ต.ต.เงิน ถูกกระแสน้ำพัดหายตัวไปพร้อมหลานชาย โดยไม่มีใครพบเห็นศพ ด้านนางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยานายสมชาย ก็ได้เรียกร้องให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ด้วย ท่ามกลางกระแสข่าวสะพัดว่า พ.ต.ต.เงินหลบหนีคดีไปอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน
ขณะที่การสอบสวนการหายตัวไปของ สมชาย ของดีเอสไอ ก็ยังไม่มีความคืบหน้า โดยก่อนหน้านี้การสุ่มเก็บหลักฐานชิ้นส่วนโครงกระดูกจากบ่อขยะและแม่น้ำแม่กลองในพื้นที่จ.ราชบุรี และประสานส่งชิ้นส่วนกระดูกให้เอฟบีไอ สหรัฐอเมริกา นำไปตรวจพิสูจน์แต่ผลดีเอ็นเอจากวัตถุพยานไม่ตรงกับทนายสมชาย หลังจากนั้นงานของชุดสืบสวนถูกระดมกำลังไปทำคดีก่อการร้าย ดีเอสไอจึงพักการสืบสวนไว้ชั่วคราว
ข้อมูลจากหนังสือ “สมชาย นีละไพจิตร ผู้เชื่อมั่นในระบบยุติธรรม” เนื่องในโอกาสครบรอบสองปีที่ถูกทำให้หายตัว


