บิ๊กตู่หวังเยือนอเมริกา ช่วยล้างภาพยึดอำนาจ
เส้นทางสู่สหรัฐชัดเจนขึ้นเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)มีกำหนดการจะเยือนแผ่นดินชาติมหาอำนาจและต้นแบบประชาธิปไตยในเดือน ต.ค.นี้
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
เส้นทางสู่สหรัฐชัดเจนขึ้นเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีกำหนดการจะเยือนแผ่นดินชาติมหาอำนาจและต้นแบบประชาธิปไตยในเดือน ต.ค.นี้
พร้อมคำให้สัมภาษณ์ว่า ทาง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่ได้ตั้งเงื่อนไขลดความสัมพันธ์อะไร เนื่องจากไทยเป็นประเทศหนึ่งที่เป็นมิตรประเทศร่วมกันมายาวนานนับร้อยปี ฉะนั้นเป็นเรื่องการหารือ การแลกเปลี่ยนความเห็นซึ่งกันและกัน
ท่าทีต่างๆ เราก็แสดงชัดเจนไปแล้ว เราปฏิบัติตามมติพันธกรณีต่างๆ ของสหประชาชาติที่มีอยู่ พร้อมทั้งได้มีการประกาศท่าทีที่ชัดเจนไปในกรอบอาเซียนด้วยแล้ว เรื่องนี้อย่าให้มาเป็นเงื่อนไขกันเลย
ช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับที่ เรกซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงบ่ายเมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการพบปะระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ และทรัมป์ ในระยะเวลาอันใกล้นี้
รวมถึงการหารือความร่วมมือในทุกด้าน ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน คงอยู่ในรูปแบบการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
สัญญาณเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐ ที่ดีขึ้นตามลำดับหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2557 ที่ผ่านมา
อันถือเป็นผลดีต่อทั้งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ รัฐบาล คสช.ตลอดจนความเชื่อมั่นที่จะตามมา ซึ่งจะส่งผลดีต่อการค้า การลงทุน ความมั่นคง และเศรษฐกิจในภาพรวม
ต่างจากก่อนหน้านี้ที่ไทยถูกปล่อยปละละเลยไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือ หรือความช่วยเหลือทางการทหารที่หลายโครงการที่เคยดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องอย่างคอบร้าโกลด์ต้องถูกระงับไปในช่วงนั้น
แม้สมัย บารัก โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ยังอยู่ในตำแหน่ง พล.อ.ประยุทธ์ จะมีโอกาสเดินทางไปจับมือผู้นำยักษ์ใหญ่ แต่ก็เป็นเพียงแค่งานพิธีการภายใน เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2558 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐ
ในโอกาสที่เข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 70 ซึ่งยังได้พบปะผู้นำประเทศชั้นนำอื่นๆ ทั้ง สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน บันคีมุน เลขาธิการสหประชาชาติ และชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น
แต่ความพยายามเดินทางไปพบผู้นำโลกอย่าง ทรัมป์ ในช่วงเวลานี้ถูกมองว่าเป็นการเร่งสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง และลบล้างภาพลักษณ์การเป็นผู้นำก่อรัฐประหารยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 ที่ไม่เป็นที่ยอมรับในชาติประชาธิปไตยให้หมดไป
สอดรับกับที่ ดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ตอนนี้ไม่มีชาติไหนห้ามหัวหน้า คสช.เข้าประเทศ มีแต่ต่างประเทศเชิญนายกฯ ไปเยือนจำนวนมาก เพียงแต่นายกฯ ไปไม่ได้
โดยทั้งหมด พล.อ.ประยุทธ์ สรุปว่า ถ้าเป็นเรื่องการประชุม เช่น การประชุมอาเซียน การประชุม จี7 การประชุม จี20 นั้นตัวเองเดินทางไปหมด รวมถึงสหรัฐ แต่การเยือนอย่างเป็นทางการตัวเองไปไม่ได้ เพราะเป็นผู้นำรัฐบาลแบบนี้
“ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจอะไร แต่กฎหมายเขาเป็นอย่างนั้น อันนี้เป็นสถานการณ์วันข้างหน้าที่ทุกอย่างจะกลับมาที่เดิมเป็นปกติ แต่วันนี้การค้า การลงทุน ความร่วมมือต่างๆ ทุกประเทศผ่านทางเอกอัครราชทูต สมาคมธุรกิจการค้า การลงทุน ทั้งสหรัฐ อียู ออสเตรเลีย ทุกประเทศมาพูดคุยกันหมด” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
อีกด้านหนึ่งทางสหรัฐเองก็ไม่อาจปล่อยปละละเลยประเทศไทยแบบไร้เยื่อใยได้ เพราะด้วยประเด็นเรื่องการค้า การลงทุน แถมยังภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางในภูมิภาค จำเป็นที่สหรัฐต้องพยายามกระชับความสัมพันธ์ไม่ให้เหินห่างจนยากจะกู้กลับ
ยิ่งระยะหลังประเทศจีนเริ่มแข็งแกร่งและพยายามแผ่ขยายอำนาจทั้งในแง่ความมั่นคงและเศรษฐกิจด้วยแล้ว ทำให้สหรัฐไม่อาจอยู่เฉยๆ ปล่อยให้ไทยเทความสัมพันธ์ไปทางฝั่งจีนเพียงฝ่ายเดียวได้
ดังจะเห็นว่าช่วงหลังรัฐประหารสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนดูจะแน่นแฟ้นมากขึ้น รวมถึงการร่วมไม้ร่วมมือก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ไปจนถึงการสั่งเรือดำน้ำจากประเทศจีน
เมื่อไม่นานนี้ทางทรัมป์ จึงต่อสายตรงถึง พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อพูดคุยเรื่องสถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะประเด็นเกาหลีเหนือ แถมตบท้ายยังได้เชิญชวนให้นายกฯ ไทยเดินทางเยือนสหรัฐด้วย
เมื่อทางสหรัฐเล็งเห็นถึงความสำคัญของการได้รับความร่วมมือจากประเทศที่เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาค เพื่อเพิ่มแรงกดดันทางเศรษฐกิจและการทูตต่อเกาหลีเหนือ
แม้จะไม่ใช่ประเทศเดียวที่ทรัมป์ต่อสายถึง แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับในตัวผู้นำรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ มากขึ้น
โอกาสนี้ยังอาจช่วยสร้างการยอมรับในเวทีนานาชาติ และส่งผลกลับมายังภายในประเทศไทย และลบภาพลักษณ์ที่เป็นผู้นำรัฐประหารให้หมดไป
แน่นอนว่านี่จะเป็นพลังสร้างความชอบธรรมให้กับการรัฐประหาร ยังไม่รวมถึงการเร่งสร้างความเชื่อมั่นกับเส้นทางในวันข้างหน้าที่หลายคนยังพูดถึงเรื่องนายกฯ คนนอก