ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องรังสรรค์ฆ่าประมาณ
ศาลอุทธรณ์พลิกกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นยกฟ้องรังสรรค์กับพวกสี่คนคดีจ้างวานฆ่าประมาณชันซื่ออดีตประธานศาลฎีกาชี้ไม่มีเหตุจูงใจไม่น่าเชื่อว่ามีเรื่องจ้างวานฆ่าอยู่จริง
ศาลอุทธรณ์พลิกกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นยกฟ้องรังสรรค์กับพวกสี่คนคดีจ้างวานฆ่าประมาณชันซื่ออดีตประธานศาลฎีกาชี้ไม่มีเหตุจูงใจไม่น่าเชื่อว่ามีเรื่องจ้างวานฆ่าอยู่จริง
ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสมพร หรือหมา เดชานุภาพ ชาว จ.นครสวรรค์ นายเณร มหาวิลัย อาชีพค้าไม้ นายอภิชิต อังศุธรางกูร หรือเล็ก สตูล นักธุรกิจอดีตผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐภาคใต้ และนายรังสรรค์ ต่อสุวรรณ นักธุรกิจ และสถาปนิกชื่อดัง จำเลยที่ 1 - 4 ในความผิดฐานร่วมกันใช้ จ้าง วาน ฆ่า นายประมาณ ชันซื่อ อดีตประธานศาลฎีกา
คดีนี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2536 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2535 - 25 พฤษภาคม 2536 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 4ได้บังอาจเป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และไตร่ตรองไว้ก่อนโดยใช้ จ้าง วาน ยุยงส่งเสริมให้นายอภิชิต จำเลยที่ 3 ติดต่อนายบรรเจิด จันทนะเปลิน จัดหาบุคคลไปฆ่านายประมาณ โดยจะให้ค่าจ้างมือปืนจำนวน 1 ล้านบาท ซึ่งนายบรรเจิด ตอบตกลง และติดต่อให้นายสมพร จำเลยที่ 1 และนายเณร จำเลยที่ 2 จัดหาบุคคล ซึ่งได้นายประทุม สุดมณี และนายบำรุง ชัยเมือง เป็นมือปืน และได้ให้เงินกับทั้งสองเป็นเงินจำนวน 80,000 บาทไป และจำเลยที่ 1-2 ได้พานายประทุมกับนายบำรุง ไปดูบ้านพักของนายประมาณ ที่ในซอยศรีนคร ถนนนางลิ้นจี่ แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. แต่ภายหลังทั้งสองทราบข่าวว่านายประมาณ เป็นประธานศาลฎีกา จึงกลับใจไม่ยอมกระทำความผิด ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมจำเลยที่ 1- 3 ได้ และจำเลยที่ 4 เข้ามอบตัว ชั้นสอบสวน จำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ แต่กลับให้การปฏิเสธในชั้นศาล ส่วนจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาอ้างว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดฉากสร้างเรื่องเท็จจับกุม
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2552 ประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่ในความฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตาม ป.อาญา ม.289 (4) ซึ่งความผิดนั้นมีโทษประหารชีวิต แต่เมื่อความผิดไม่ได้ทำลงเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำผู้ใช้จึงต้องระวางโทษเพียง 1ใน 3 ของโทษประหารชีวิตคือกึ่งหนึ่งของโทษจำคุก 50 ปี จึงให้จำคุกจำเลยทั้ง 4 คนละ 25 ปี แต่จำเลยที่ 1-2ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี เห็นควรลดโทษให้ 1ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 และ2 ไว้คนละ 16 ปี 8 เดือน ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ตรวจประชุมปรึกษาหารือกันแล้วมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดฐานร่วมกันใช้จ้างวานฆ่าผู้อื่นหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า คดีนี้ พ.ต.ท.ประพันธ์ เนียรภาค สารวัตรสอบสวน สภ.อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ทราบเรื่องการจ้างว่าฆ่านายประมาณจาก นายประทุม และนายบำรุง เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2536 จึงไปเล่าเรื่องให้ พล.ต.ต.ล้วน ปานรศทิพ ผู้บังคับการกองปราบปรามทราบ และมีคำสั่งให้สอบสวนตั้งแต่เดือนมกราคม 2536- 19 พฤษภาคม 2536 โดยนายประมาณ ให้การในชั้นสอบสวนและชั้นศาลว่าการปฏิบัติราชการของนายประมาณทำให้ จำเลยที่ 4 เกิดความเสียหาย เรื่องการสร้างอาคารศาลฎีกาแห่งใหม่ แต่นายประมาณ ก็ไม่ได้นำเอกสารราชการเรื่องการสร้างศาลฎีกาซึ่งอยู่ในความควบคุมของกระทรวงยุติธรรม มาให้พนักงานสอบสวนหามูลเหตุจูงใจ ว่าทำให้จำเลยที่ 4 เสียหายและโกรธแค้นอย่างไร นอกจากนี้ทางนำสืบยังได้ความจากนายประมาณ เบิกความรับว่า ไม่ปักใจเชื่อว่าจำเลยที่ 4 จะเป็นตัวการในการจ้างวานฆ่า ส่วนที่จำเลยที่ 4 มีข้อพิพาท เรื่องก่อสร้างคอนโดมิเนียม ที่ พัทยา และข้อพิพาทเรื่องการทวงเงินค่าออกแบบห้างสรรพสินค้า เวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ จำนวน 200 ล้านบาท ที่อาจทำให้จำเลยที่ 4 ไม่ได้รับค่าเสียหายนั้น คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ซึ่งขึ้นอยู่กับหลักฐานของคู่ความและศาลจะเชื่อหลักฐานนั้นหรือไม่ ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่มีการกล่าวหาว่าจำเลยที่ 4 จ้างวานฆ่านายประมาณ จึงไม่พอรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 มีมูลเหตุจูงใจใช้จ้างวานฆ่านายประมาณ
ส่วนข้อพิพาทเรื่องการย้ายนางยินดี ต่อสุวรรณ ภรรยา จำเลยที่ 4 จากอธิบดีผู้พิพากษาภาค 9 เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ และเรื่องวิกฤตตุลาการ นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 4 และนางยินดี ไม่มีอำนาจในการกีดกั้นตุลาการไม่ให้เข้าห้องประชุมเพราะเป็นคนภายนอกและแม้ผู้พิพากษาเองก็ไม่มีสิทธิยุ่งเกี่ยวถ้าไม่มีหน้าที่ และเรื่องการย้ายนางยินดี ก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ไม่ใช่นายประมาณ เพียงคนเดียว อีกทั้งยังเป็นการโยกย้ายในระดับเดียวกันไม่ได้เป็นการถูกลดชั้น โดยหลังจาที่นายประมาณ ได้เป็นประธานศาลฎีกาแล้ว มีหนังสือพิมพ์ข่าวพิเศษ เขียนบทความโจมตีนายสวัสดิ์ โชติพาณิช อดีตประธานศาลฎีกาที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว โดยกล่าวถึงความผูกผันของนายสวัสดิ์ และจำเลยที่ 4 ว่า จำเลยที่ 4 เข้าไปในห้องประชุม ก.ต.เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2535 จึงเป็นพิรุธมีพฤติการณ์แสดงว่าร่วมกันสร้างมูลเหตุจูงใจเรื่องการจ้างวานฆ่านายประมาณ
เช่นเดียวกันคำสั่งสอบสวนคดีนี้ของพนักงานสอบสวนก็มีลักษณะในการสอบสวนย้อนหลัง จึงไม่น่าเป็นไปได้ ส่อแสดงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่เรื่องจริง นอกจากนี้จำเลยที่ 1-2 นำสืบว่าคำให้การับสารภาพในชั้นสอบสวนเกิดจากการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมายของพนักงานสอบสวน เป็นคำรับสารภาพที่เกิดจากความไม่สมัครใจ อีกทั้งนายประมาณ ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตัวเอง แต่รับฟังมาจากคนอื่น อีกที่พนักงานสอบสวนอ้างว่าได้คุยกับนายประทุมและนายบำรุง ยอมรับว่ายังเหลือเงินที่ได้รับเป็นค่าจ้างฆ่านายประมาณอีก 1 หมื่นบาทเศษ แต่ก็ไม่ได้ยึดเงินดังกล่าวไว้เป็นของกลางทั้งที่เป็นหลักฐานที่สำคัญ เช่นเดียวกับหลักฐานภาพฐานที่นายประทุมอ้างว่าเป็นภาพถ่ายของนายประมาณ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่จะเป็นหลักฐานที่สำคัญอีกชิ้นว่าจะมีการจ้างวานฆ่าจริง
เมื่อวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ ข้ออื่นเช่นนายประมาณเป็นผู้เสียหายหรือไม่ พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการสั่งฟ้องคดีกับศาลชั้นต้น ตลอดจนกระบวนพิจารณาตลอดจนพิพากษาคดีนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้นไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนไป ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกโทษจำเลยทั้งสี่นั้นศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษากลับศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสี่


