ความเสียหายจากต้นไม้ล้ม
เมืองไทยเรานี้แสนดีหนักหนา น้ำฝนไม่มาก็พาแห้งแล้ง น้ำฝนมามากไหลหลากเป็นน้ำท่วม และบางครั้งแม้ฝนไม่ตกน้ำก็ยังท่วมบ้านท่วมเมืองได้ สรุปแล้วบ้านเมืองเราไม่น้ำท่วมก็แล้งน้ำ นักการเมืองผู้บริหารของบ้านเรา จึงมีเหตุผลอธิบายได้ว่าแก้ปัญหาไม่ได้เพราะเดี๋ยวท่วมเดี๋ยวแล้ง ไม่เหมือนบางประเทศที่แล้งตลอดเวลา ผู้บริหารของเขาจึงแก้ปัญหาได้
เมืองไทยเรานี้แสนดีหนักหนา น้ำฝนไม่มาก็พาแห้งแล้ง น้ำฝนมามากไหลหลากเป็นน้ำท่วม และบางครั้งแม้ฝนไม่ตกน้ำก็ยังท่วมบ้านท่วมเมืองได้ สรุปแล้วบ้านเมืองเราไม่น้ำท่วมก็แล้งน้ำ นักการเมืองผู้บริหารของบ้านเรา จึงมีเหตุผลอธิบายได้ว่าแก้ปัญหาไม่ได้เพราะเดี๋ยวท่วมเดี๋ยวแล้ง ไม่เหมือนบางประเทศที่แล้งตลอดเวลา ผู้บริหารของเขาจึงแก้ปัญหาได้
ปีนี้น้ำท่าน่าจะบริบูรณ์ ฝนมาเร็วกว่าปีก่อนๆ และมามากเป็นพิเศษ นอกจากฝนแล้วลมพายุก็แรงด้วย ก่อให้เกิดความเสียหาย ต้นไม้หักโค่นเป็นจำนวนมาก มีคนตายบ้าง ไม่ตายบ้าง
เมื่อเร็วๆ นี้เกิดเหตุสะเทือนใจที่ซอยชิดลม เมื่อเกิดพายุลมแรงพัดต้นไม้ใหญ่หักล้มฟาดกับสายไฟฟ้า สายไฟไปดึงเสาไฟฟ้าล้มลง ฟาดถูกคนขี่รถจักรยานยนต์ถึงแก่ความตาย มีคำถามในทางกฎหมายว่า ใครจะต้องรับผิดชอบการเสียชีวิตของคนขี่จักรยานยนต์บ้างหรือไม่ เพียงใด
จะเห็นได้ว่าต้นเหตุของเรื่องนี้มาจากพายุลมแรง-ต้นไม้ล้มใส่สายไฟฟ้า-สายไฟฟ้าไปดึงเสาไฟฟ้า-เสาไฟฟ้าล้มไปทับคนตาย
ความตายของคนขับขี่รถจักรยานยนต์ เป็นผลจากการกระทำใด
มีตัวอย่างสนุกๆ ในทางกฎหมายที่ทำให้คิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล เช่น นาย ก. ตั้งใจขับรถไปชนนาย ข.ที่ยืนอยู่หน้าบ้าน รถไปชนเสาบ้าน บ้านสะเทือนทำให้กระจกชั้น 2 แตก คนในบ้านเดินมาเหยียบเป็นแผล ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล เกิดติดเชื้อถึงแก่ความตาย
กรณีตามตัวอย่าง จะถือว่าความตายนั้นเป็นผลจากการกระทำของนาย ก.หรือไม่
อีกตัวอย่างหนึ่งเปรียบเทียบกัน นาย ก.ไปฆ่าหมาของนางสาว ข. ซึ่งเป็นหมาที่นางสาว ข.รักมาก เลี้ยงเหมือนลูก นางสาว ข.เสียใจมาก ตรอมใจตาย กรณีอย่างนี้จะถือว่าความตายของนางสาว ข.เป็นผลโดยตรงมาจากการฆ่าหมาหรือไม่
ทั้งสองเรื่อง นาย ก.เป็นผู้ทำละเมิด ความรู้สึกของคนทั่วไปในกรณีแรก นาย ก.น่าจะต้องรับผิดชอบความตายของคนในบ้าน ส่วนกรณีที่สองความตายของนางสาว ข.ดูจะไกลเกินเหตุ การฆ่าหมาไม่น่าจะเป็นเหตุให้นางสาว ข.ตาย ยิ่งถ้าหากเปลี่ยนข้อเท็จจริงเป็นนางสาว ข.เสียใจไปผูกคอตาย ความตายยิ่งจะดูห่างจากการฆ่าหมา ไม่น่าจะเป็นผลจากการฆ่าหมา
ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผลที่เกิดขึ้นนี้ ในทางกฎหมายมี 2 ทฤษฎีที่ใช้กัน ทฤษฎีแรกเป็นทฤษฎีเงื่อนไข คือ ถ้าไม่เกิดเหตุละเมิด ก็จะไม่เกิดผล ไม่ว่าผลนั้นจะเกิดขึ้นกี่ต่อ ก็ยังถือว่าเกิดขึ้นจากการทำละเมิด ทฤษฎีที่สองเป็นทฤษฎีมูลเหตุเหมาะสม ซึ่งหมายถึงว่า การกระทำละเมิดนั้น โดยเหตุด้วยผลแล้วควรจะเกิดความเสียหายแค่ไหน เพียงใด
สำหรับแนวคำวินิจฉัยของศาลไทย ไม่ได้ยึดทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่ง แต่พิจารณาเป็นเรื่องๆ ไป ซึ่งก็น่าจะถูกต้อง และให้ความเป็นธรรมได้เหมาะสมในแต่ละเรื่อง ซึ่งจะมีข้อเท็จจริงที่ไม่เหมือนกัน
สำหรับเรื่องต้นไม้ล้มที่ซอยชิดลมนั้น ในมุมมองทางกฎหมายจะต้องวิเคราะห์เป็น 3 ประเด็น คือ (1) เหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากความประมาทของบุคคลหรือเป็นเหตุสุดวิสัย (2) ถ้าเป็นเหตุสุดวิสัย ก็ถือเป็นบาปเคราะห์ของผู้ตาย ไม่มีใครต้องรับผิด แต่ถ้าเป็นความประมาทของบุคคล ใครบ้างที่จะต้องรับผิดชอบ และ (3) ความรับผิดชอบมีแค่ไหน เพียงใด
ประเด็นแรก การเกิดพายุลมแรงเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีใครบังคับได้ แต่การเกิดพายุลมแรงก็ไม่ได้ทำให้ต้นไม้ทุกต้นโค่นล้ม จึงต้องพิจารณาว่าเจ้าของต้นไม้ดูแลรักษาต้นไม้ดีพอหรือไม่ อันเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 434 บัญญัติว่า ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะเหตุที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นก่อสร้างไว้ชำรุดบกพร่องก็ดี หรือบำรุงรักษาไม่เพียงพอก็ดี ท่านว่าผู้ครองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้น จำต้อง
ใช้สินไหมทดแทน...บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนั้น ให้ใช้บังคับได้ตลอดถึงความบกพร่องในการปลูกหรือค้ำจุนต้นไม้หรือกอไผ่ด้วย
ในกรณีที่กล่าวมาในสองวรรคข้างต้นนั้น ถ้ายังมีผู้อื่นอีกที่ต้องรับผิดชอบในการก่อให้เกิดความเสียหายนั้นด้วย ท่านว่าผู้ครองหรือเจ้าของจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้นั้นก็ได้
ประเด็นนี้ แนวคำวินิจฉัยของศาลจะถือว่าเป็นความผิดของเจ้าของต้นไม้ที่ไม่ดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพคงทนแข็งแรง เหมือนกับรถยนต์เบรกแตก เจ้าของจะอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยไม่ได้ เพราะเจ้าของมีหน้าที่ต้องดูแลรักษารถยนต์ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ดี
ประเด็นที่สอง หากไม่ใช่เป็นเรื่องของอุบัติเหตุจากภัยธรรมชาติแล้ว เจ้าของต้นไม้ย่อมต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ต้นไม้ไม่ได้ทำให้เกิดการเสียชีวิตโดยตรง ยังมีสายไฟฟ้า เสาไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เจ้าของเสาไฟฟ้าแม้ด้านหนึ่งจะถูกระทำ แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นผู้กระทำด้วย จึงน่าจะต้องพิจารณาว่าเสาไฟฟ้านั้นได้มาตรฐานเพียงพอหรือไม่ สร้างไม่ได้มาตรฐานจึงทำให้ล้ม เจ้าของเสาไฟฟ้าก็อาจจะต้องรับผิดด้วย
ประเด็นที่สาม ความรับผิดชอบจะมีมากน้อยแค่ไหน เพียงใด ประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผลตาม 2 ทฤษฎีข้างต้น เจ้าของต้นไม้และเจ้าของเสาไฟฟ้า จะต้องรับผิดถึงความตายของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์หรือไม่ ประเด็นนี้เนื่องจากคดียังไม่ขึ้นสู่ศาล และไม่แน่ว่าจะขึ้นสู่ศาลหรือไม่ จึงไม่ควรไปชี้นำ รอว่าถ้าขึ้นศาลแล้วท่านจะใช้ทฤษฎีไหน
ในทางกฎหมาย มีหลายทฤษฎีหลายแง่หลายมุม แต่ในทฤษฎีกฎแห่งกรรมนั้น เป็นทฤษฎีที่แน่นอนตายตัว ไม่ขึ้นกับกาลเวลา หลักธรรมของพุทธศาสนายืนยันว่า ความบังเอิญไม่มีในโลก ไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้นในวันนี้ ล้วนเกิดมาแต่เหตุ เกิดจากเหตุปัจจัยที่เคยสร้างเคยทำมาก่อนแล้วในอดีต เพียงแต่เราสายตาสั้น เราตา(ใน)บอด มองไม่เห็นว่าในภพก่อนชาติก่อนเคยทำกรรมใดไว้บ้าง จึงไม่เข้าใจเหตุการณ์ในปัจจุบัน
การยอมรับกฎแห่งกรรม มิได้หมายความว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร คนเรามีหน้าที่สร้างเหตุ เรามีสิทธิตามกฎหมายบ้านเมืองอย่างไร เราก็ทำให้เต็มที่ แต่อย่าไปหวังว่าจะได้ผลอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะเมื่อใดที่ตั้งความหวัง ก็จะคอยให้เกิดผลตามที่คาดหวัง ก็จะเกิดทุกข์ ยิ่งเมื่อผลไม่เป็นไปตามที่หวังก็ยิ่งทุกข์
การยอมรับกฎแห่งกรรมคือ การยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากเหตุที่เราเป็นผู้สร้าง แล้วอย่าไปอาฆาตพยาบาทจองเวรกันต่อไป เพื่อให้กฎแห่งกรรมยุติลงที่ตัวเราเอง


