ทีวีฮ่องกงจ่อวิกฤต
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์ [email protected]ปัญหาธุรกิจทีวีที่ซบเซาลงในยุคของสื่อดิจิทัลนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในบ้านเราเท่านั้นที่เพย์ทีวีอย่างช่อง CTH ต้องปิดตัวลง หรือฟรีทีวีหลายช่องต้องยุติการให้บริการ เนื่องจากไม่มีรายได้พอที่จะไปจ่ายค่าสัมปทานหลายพันล้านบาทได้ ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดในวันนี้ กำลังเกิดขึ้นที่เขตเศรษฐกิจใหญ่ในเอเชียอย่าง “ฮ่องกง” กับวิกฤตวงการทีวีทั้งสายฟรีและสายเปย์เพย์ทีวีหลายเจ้าในฮ่องกงกำลังทยอยปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดคือค่าย i-Cable ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถานีข่าวที่น่าเชื่อถือมากที่สุดของฮ่องกง ประกาศเตรียมปิดให้บริการในเดือน มิ.ย. 2017 นี้ ทั้งที่บริษัทเพิ่งจะได้ต่อใบอนุญาตอีก 12 ปี ไปเมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมานี่เอง โดยจะหมดอายุในปี 2029เป็นการโบกมือลาตามไปหมาดๆ หลังจากทีวีเจ้าใหญ่ที่คุ้นหูคนไทยมานานอย่าง TVB เพิ่งถอดใจจากธุรกิจเพย์ทีวีไปเมื่อต้นปีนี้ เพราะติดตัวแดงเจ๊งมาหลายปีในธุรกิจนี้ (ไม่รวมฟรีทีวี) ทำให้คาดว่าในกลุ่มเพย์ทีวีฮ่องกงจะเหลือเพียงค่าย Now TV เท่านั้นสวนสายฟรีทีวีก็ย่ำแย่ไม่ต่างกัน เอเชีย เทเลวิชั่น (ATV) ซึ่งเป็นสถานีแห
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์ [email protected]
ปัญหาธุรกิจทีวีที่ซบเซาลงในยุคของสื่อดิจิทัลนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในบ้านเราเท่านั้นที่เพย์ทีวีอย่างช่อง CTH ต้องปิดตัวลง หรือฟรีทีวีหลายช่องต้องยุติการให้บริการ เนื่องจากไม่มีรายได้พอที่จะไปจ่ายค่าสัมปทานหลายพันล้านบาทได้
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดในวันนี้ กำลังเกิดขึ้นที่เขตเศรษฐกิจใหญ่ในเอเชียอย่าง “ฮ่องกง” กับวิกฤตวงการทีวีทั้งสายฟรีและสายเปย์
เพย์ทีวีหลายเจ้าในฮ่องกงกำลังทยอยปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดคือค่าย i-Cable ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถานีข่าวที่น่าเชื่อถือมากที่สุดของฮ่องกง ประกาศเตรียมปิดให้บริการในเดือน มิ.ย. 2017 นี้ ทั้งที่บริษัทเพิ่งจะได้ต่อใบอนุญาตอีก 12 ปี ไปเมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมานี่เอง โดยจะหมดอายุในปี 2029
เป็นการโบกมือลาตามไปหมาดๆ หลังจากทีวีเจ้าใหญ่ที่คุ้นหูคนไทยมานานอย่าง TVB เพิ่งถอดใจจากธุรกิจเพย์ทีวีไปเมื่อต้นปีนี้ เพราะติดตัวแดงเจ๊งมาหลายปีในธุรกิจนี้ (ไม่รวมฟรีทีวี) ทำให้คาดว่าในกลุ่มเพย์ทีวีฮ่องกงจะเหลือเพียงค่าย Now TV เท่านั้น
สวนสายฟรีทีวีก็ย่ำแย่ไม่ต่างกัน เอเชีย เทเลวิชั่น (ATV) ซึ่งเป็นสถานีแห่งแรกในฮ่องกงและเป็นคู่แข่งหลักของ TVB ก่อนหน้านี้ ก็ได้ปิดตัวลงไปเมื่อกลางปีที่แล้ว ปิดฉากธุรกิจที่มีมานานถึง 59 ปี เพราะแข่งขันไม่ไหว และแม้แต่ดิจิทัลทีวีบางรายก็ยอมยกธงขาวไปก่อนหน้านี้เหมือนกัน
ปัญหาหลักของธุรกิจทีวีในฮ่องกงอาจแบ่งได้เป็น 2 ส่วนหลักๆ ด้วยกัน ประการแรก คือการปรับตัวที่เชื่องช้าเกินไปของหน่วยงานกำกับดูแล รัฐบาลใช้กฎข้อบังคับที่เข้มงวดเกินไป โดยเฉพาะการเซ็นเซอร์ ซึ่งนักวิเคราะห์หลายรายเสนอให้เร่งแก้ไข อาทิ การปรับปรุงข้อจำกัดที่ล้าสมัยด้านเนื้อหา เวลาในการโฆษณา ปรับปรุงข้อจำกัดทางด้านการใช้ภาษา ปรับแก้ตารางเวลาการออกอากาศ และแก้ไขการห้ามครองสิทธิข้ามสื่อ ไม่เช่นนั้นธุรกิจโทรทัศน์ในฮ่องกงอาจพบจุดจบได้
ปัญหาสำคัญอีกประการก็คือ การเข้ามาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีบันเทิงใหม่ๆ ทั้งดิจิทัลคอนเทนต์บนอินเทอร์เน็ต และบริการสตรีมมิ่งทั้งรายการทีวี หนัง และเพลง เช่น NetFlix ท่ามกลางพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปรับสื่อแบบ On demand มากขึ้น
แม้แต่ในฝั่งสหรัฐเองก็กำลังมีการเปลี่ยนแปลงธุรกิจสื่อบันเทิงไปมากเหมือนกันในยุคที่โซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ล่าสุดยูทูบได้เปิดตัว YoutubeTV หรือทีวีสตรีมมิ่งของตัวเองแล้ว โดยรวม 40 ช่องรายการดังมาไว้ และให้รับชมได้ผ่านหลายแพลตฟอร์ม หลายล็อกอิน ในราคาเดือนละ 35 เหรียญสหรัฐ (ราว 1,235 บาท) ซึ่งนำร่องให้บริการเฉพาะที่สหรัฐก่อน
การแข่งขันยังไม่ได้จำกัดแค่โซเชียลมีเดียเท่านั้น ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือและอินเทอร์เน็ตรายใหญ่อย่าง Verizon ยังลงมาเล่นผ่านโมบายแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า Fios โดยมีจุดเด่นคือดูสตรีมมิ่งได้โดยไม่กินเน็ตดาต้าของอุปกรณ์ที่ใช้อยู่
เมื่อต้องเผชิญเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่นนี้ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป การปรับตัวใดๆ ที่ไม่ทันใจคน ย่อมต้องมีผู้แพ้ทั่วโลกตามมาอีกไม่น้อยอย่างแน่นอน


