posttoday

"ระเบิดแก่งแม่น้ำโขง"ผลประโยชน์ที่ได้ไม่คุ้มเสีย?

17 มกราคม 2560

หลากหลายมุมมองที่มีต่อผลกระทบโครงการระเบิดเกาะแก่งแม่น้ำโขง

โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์

เมื่อวันที่ 17 ม.ค. มีการจัดเวทีเสวนาหัวข้อ "วิพากษ์โครงการระเบิดเกาะแก่งแม่น้ำโขง” ที่ ณ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร หลากหลายมุมมองที่มีต่อผลกระทบอันใหญ่หลวงครั้งนี้เรียกได้ว่าน่ารับฟังเป็นอย่างยิ่ง
 

แผนระเบิดเกาะแก่งแม่น้ำโขง

หลังจากเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนพัฒนาการเดินเรือระหว่างประเทศในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง พ.ศ.2558-2568 เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาการขนส่งทางน้ำระหว่างประเทศในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ให้เกิดความสะดวก ปลอดภัย และเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างประเทศสมาชิก

นอกจากนี้ ยังให้ความเห็นชอบการดำเนินงานเบื้องต้นในโครงการปรับปรุงร่องน้ำทางเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง (งานศึกษา-สำรวจ-ออกแบบ) โดยทั้งหมดนี้จะให้กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เป็นหน่วยงานปฏิบัติและประสานงานหลักในการดำเนินตามแผนพัฒนาการเดินเรือระหว่างประเทศ พ.ศ.2558-2568 ด้วย

สำหรับแผนพัฒนาการเดินเรือระหว่างประเทศในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง พ.ศ.2558-2568 จะครอบคลุมพื้นที่แม่น้ำโขงระหว่างเมืองซือเหมาในจีน ถึงเมืองหลวงพระบางในลาว โดยแบ่งการพัฒนาเป็น 2 ระยะ ประกอบด้วยดังนี้

ระยะที่ 1 (พ.ศ.2558-2563) ศึกษา สำรวจ ออกแบบ และทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมของแต่ละโครงการ และได้รับการรับรองจาก 4 ประเทศ โดยจะปรับปรุงร่องน้ำระยะทาง 631 กม. จากชายแดนจีน-เมียนมาที่หลัก 243 ถึงหลวงพระบางเพื่อรองรับเรือ 500 ตัน พัฒนาท่าเรือสินค้า 3 แห่ง และท่าเรือโดยสาร 3 แห่ง

ระยะที่ 2 (พ.ศ.2563-2568) ศึกษา สำรวจ ออกแบบ และทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมของแต่ละโครงการ และได้รับการรับรองจาก 4 ประเทศ มีการปรับปรุงร่องน้ำระยะทาง 259 กม. จากซือเหมาถึงชายแดนจีน-เมียนมา ที่หลัก 243 ให้รองรับเรือ 500 ตัน และสร้างสะพาน Yunjinghong ขึ้นใหม่ และมีการพัฒนาท่าเรือสินค้าสำหรับเรือ 500 ตัน 4 แห่ง ท่าเรือสินค้าสำหรับเรือ 300 ตัน และท่าเรือโดยสาร 9 แห่ง

อย่างไรก็ตาม เสียงคัดค้านจากคนในพื้นที่ รวมทั้งบรรดาเอ็นจีโอในประเทศไทยพลันดังกระหึ่มขึ้น เนื่องจากหวั่นเกรงว่าหากเกิดการระเบิดเกาะแก่งในแม่น้ำโขง หลายสิ่งอย่างที่เคยดำรงอยู่จะต้องเปลี่ยนไป

"ระเบิดแก่งแม่น้ำโขง"ผลประโยชน์ที่ได้ไม่คุ้มเสีย?

ไทยได้ประโยชน์คุ้มค่าจริงหรือ?

เสาวรัจ รัตนคำฟู นักวิชาการจากสถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าเมื่อต้องแลกระหว่างการค้าพาณิชย์กับทรัพยากรในลุ่มน้ำโขงว่า สิ่งที่ต้องวิเคราะห์กันในเรื่องของเศรษฐศาสตร์ หากเกิดเส้นทางเดินเรือขนาดใหญ่ 500 ตันจริง ประเทศไทยจะได้ประโยชน์จากการค้าที่ว่าด้วยหรือไม่ เรามีสินค้าที่จะส่งไปขายด้วยการเดินเรือในปริมาณที่มากพอจริงหรือ เพราะจากสถิติการค้าในด่านชายแดนของพื้นที่ทั้งด่านพรมแดนเชียงแสน และด่านพรมแดนเชียงของ จ.เชียงราย มูลค่าการค้าของไทยก็ไม่ได้มากมายนัก เพียงแค่ 3% จากการค้าระหว่างชายแดนทั้งหมด

"สิ่งสำคัญคือในระยะที่ 3 ของการระเบิดเกาะแก่งแม่น้ำโขงเพื่อให้เรือพาณิชย์ขนาดใหญ่ล่องได้ จะทำให้แม่น้ำกลายเป็นลำคลอง มันคุ้มกับสิ่งที่จะต้องเสียไปหรือไม่ และเป็นผลประโยชน์ของใครกันแน่”

หากขยายความในแง่ของเศรษฐกิจการค้าที่ไทยจะได้ประโยชน์ เสาวรัจมองว่า จากข้อมูลที่ได้รับมาจากทางรัฐบาลของไทย ก็ยังไม่มีความชัดเจนมากนักว่าผลประโยชน์ที่จะได้กลับมาคือสิ่งใด อีกทั้งการวางเส้นทางเดินเรือก็มาจากประเทศจีนเป็นหลัก ซึ่งยอมลงทุนให้งบประมาณแต่ละประเทศเพื่อศึกษาและดำเนินการ แน่นอนว่าไม่มีของฟรีในโลกนี้ จีนต้องการประโยชน์จากเส้นทางเดินเรือ เพื่อสร้างความยั่งยืนภายในประเทศจีน

"มันมีผลกระทบอยู่มาก วิถีชีวิตของชุมชน ทั้งการทำการประมง พืชพันธุ์ตามลุ่มน้ำ และการท่องเที่ยว ทุกอย่างเป็นตัวเลขทางการค้าที่ต้องสร้างมูลค่าได้ทั้งหมด ซึ่งคนในพื้นที่เองจะต้องนำมูลค่าทางตัวเลขที่ชัดเจนเพื่อส่งต่อให้รัฐบาลได้เห็นว่ามีผลกระทบทางเศรษฐกิจด้วย เพราะหากพูดเพียงแค่ว่ามีผลกระทบ แต่ไม่มีตัวเลขหรือสถิติข้อมูลที่เก็บไว้ เชื่อว่ารัฐบาลคงไม่สนใจที่จะรับฟัง"

"ระเบิดแก่งแม่น้ำโขง"ผลประโยชน์ที่ได้ไม่คุ้มเสีย?

ชุมชนขาดความมั่นคง-ยั่งยืน

สมเกียรติ เขื่อนเชียงสา ผู้ประสานงานเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง กล่าวว่า แม่น้ำโขงไม่ได้มีแค่แก่งหินเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ของพันธุ์ปลาอยู่ถึง 86 ชนิด จำนวนนี้เป็นพันธุ์ปลาท้องถิ่นมากถึง 74 ชนิด ซึ่งเป็นแหล่งพื้นที่ที่ชาวบ้านได้หากินและดำรงอยู่แม้ทุกวันนี้ปลาจะน้อยลงไปก็ตาม เพราะทางการจีนมีเขื่อนที่สามารถควบคุมเส้นทางน้ำได้ เพียงระยะเวลาแค่ไม่ถึง 20 ปี ความอุดมสมบูรณ์ของลุ่มน้ำก็เริ่มลดน้อยลงและค่อยๆหายไป

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีขั้นตอนการดำเนินการ 3 ระยะ ระยะที่ 1 จะต้องระเบิดแก่ง 11 แก่ง กลุ่มหินใต้น้ำอีก 10 แห่ง เพื่อให้เรือระวางบรรทุกอย่างต่ำ 100 ตันสามารถเดินเรือได้ ส่วนระยะที่ 2 ต้องระเบิดแก่งและขุดลอกสันดอนทรายในแม่น้ำโขงเพิ่มอีก 51 เกาะแก่ง ให้เรือบรรทุกอย่างต่ำ 300 ตัน สามารถเดินเรือได้ และระยะที่ 3 ปรับปรุงลุ่มน้ำโขงให้มีลักษณะคล้ายคลอง เพื่อให้เรือบรรทุกอย่างต่ำ 500 ตันสามารถเดินเรือได้ บนเส้นทางกว่า 890 กิโลเมตร

สมเกียรติ ยืนยันว่า การระเบิดเกาะแก่งในลุ่มน้ำโขง จะทำให้วิถีชีวิตของคนในชุมชนต้องเปลี่ยนไป เพราะเมื่อการดำรงชีพแบบเดิมไม่สามารถกระทำได้แล้ว ก็ต้องอพยพหนีหายจากชุมชนเพื่อเข้าเมืองหางานทำ ต้องทิ้งคนแก่และเด็กให้อยู่กับชุมชน

"เราอยู่กับแม่น้ำโขงมานาน ปลาหาได้ตลอดปี จะมากที่สุดก็ในหน้าแล้ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเปิดทางให้การค้าโดยไม่สนใจจะรับฟังผลกระทบของท้องถิ่น ของคนในชุมชน ท้ายสุดก็จะสูญเสียความเป็นท้องถิ่น สูญเสียความยั่งยืน และเปลี่ยนแม่น้ำโขงให้กลายเป็นเส้นทางเดินเรือเพียงอย่างเดียว"

นอกจากนี้ สิ่งที่สมเกียรติกังวลคือ เรื่องความมั่นคงของชาติ เพราะเส้นทางเดินเรือดังกล่าว เรือรบจากจีนก็เข้ามาได้ง่ายเช่นกัน หากในอนาคตความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไม่ราบรื่น 

ธรรมชาติเสียหายร้ายแรง

ขณะที่ ชวลิต วิทยานนท์ นักวิชาการด้านประมง กล่าวว่า หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อน ตลอดจนการระเบิดเกาะแก่งแม่น้ำโขงคือ การเปลี่ยนธรรมชาติของระดับน้ำในแม่น้ำทั้งสาย จากปกติที่จะสูงในฤดูฝนและต่ำในฤดูแล้ง กลายเป็นอยู่ในระดับกลางๆตลอด ซึ่งระบบนิเวศเช่นนี้จะเป็นผลดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือ หรือผู้ที่ควบคุมน้ำชลประทาน เพราะสามารถควบคุมน้ำได้ตามความต้องการ แต่ผลเสียตกอยู่กับธรรมชาติที่เสียหายร้ายแรง

นอกจากนี้ ระบบนิเวศน์ของแม่น้ำโขงนั้นไม่ใช่เพียงแม่น้ำสายหลักอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงพื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณรอบข้าง หากระดับน้ำโขงไม่ขึ้นสูงสุดก็จะไม่มีน้ำไหลเข้าไป ปลาในพื้นที่ชุ่มน้ำนั้นถูกตัดออกจากระบบนิเวศ นอกจากนี้บนสันดอนแม่น้ำโขงยังเป็นแหล่งหากินและวางไข่ที่สำคัญของนก แต่หากวางไข่ไปแล้วระดับน้ำไม่ต่ำลงและท่วมสันดอน นกที่จะเกิดในปีนั้นก็ตายหมด และหากเป็นเช่นนี้เรื่อยๆ ภายใน 10 ปี นกเหล่านี้สูญพันธุ์แน่นอน

"แหล่งดูนกแม่น้ำโขงนั้นให้ประโยชน์กับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ เพราะนำพานักดูนกจากทั่วโลกเข้ามายังพื้นที่ สิ่งเหล่านี้กำลังจะหายไป แต่นักพัฒนากลับบอกว่านกเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ"

อย่างไรก็ตาม เพียรพร ดีเทศน์ ผู้ประสานงานการรณรงค์ประเทศไทย องค์การแม่น้ำนานาชาติ ทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันจีนสามารถส่งสินค้ามายังไทยอยู่แล้วได้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านทางเส้นทาง R3A และส่งต่อสินค้าไปได้ทั่วประเทศไทยด้วย ส่วนการขนส่งสินค้าทางเรือขนาด 150 ตันก็จะมาถึงเชียงแสน และเปลี่ยนเป็นเรือขนาดไม่เกิน 80 ตันของลาวเพื่อขนถ่ายสินค้าเพื่อค้าขายต่อไป ซึ่งก็เพียงพออยู่แล้ว แต่การระเบิดเกาะแก่งจะยิ่งสร้างผลกระทบอย่างมาก

คำถามที่ถูกเน้นย้ำดังๆอีกครั้งคือ ระหว่างผลประโยชน์ทางพาณิชย์ที่จะได้มากับทรัพยากรในลุ่มน้ำโขงที่จะเสียไปมันคุ้มค่าจริงหรือ.

"ระเบิดแก่งแม่น้ำโขง"ผลประโยชน์ที่ได้ไม่คุ้มเสีย?

ข่าวล่าสุด

คดีพลิก สหรัฐฯปลดล็อกขายชิปให้จีน แต่รัฐบาลจีนอาจไม่อยากซื้อ