posttoday

ภัทรลดา สง่าแสง ซีเอฟโอ ไทยออยล์

07 มกราคม 2560

“ภัทรลดา สง่าแสง” ผู้บริหารสาว ปัจจุบันวัย 50 ปี ก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการเงินและบัญชี

โดย...ประลองยุทธ ผงงอย/ภาพ เสกสรร โรจนเมธากุล

“ภัทรลดา สง่าแสง” ผู้บริหารสาว ปัจจุบันวัย 50 ปี ก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการเงินและบัญชี หรือ “ซีเอฟโอ” ของบริษัท ไทยออยล์ (TOP) เมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา เธอจบปริญญาตรีจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จบปริญญาโท มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมินิ เอ็มบีเอ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

หลังเรียนจบทำงานที่แรกที่บริษัท เคพีเอ็มจี เป็นสำนักงานตรวจสอบบัญชี จากนั้นมาทำบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IFCT) ก่อนที่จะย้ายมาทำงานในบริษัท สยามโตโยต้า เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท ปูนซิเมนต์ไทยกับกลุ่มโตโยต้า รวมระยะเวลาการทำงานทั้ง 3 แห่ง ประมาณ 5 ปี ก่อนที่จะย้ายเข้ามาทำงานที่ TOP ในปี 2534 นับถึงปัจจุบันเป็นเวลา 25 ปี

การทำงานในช่วง 5 ปีแรกหลังจบปริญญาตรี ถือเป็นช่วงการศึกษาค้นหาตัวเองว่าต้องการทำอะไร ควรไปเป็นผู้สอบบัญชีดีหรือไม่ ในช่วงที่เลือกเรียนถือว่าคณะบัญชีกำลังเป็นที่นิยม แต่ด้วยบุคลิกนิสัยส่วนตัวเป็นคนชอบพบปะผู้คน ขณะที่ลักษณะการทำงานของผู้สอบบัญชีส่วนใหญ่จะอยู่ในห้องประชุม ดูแลจัดเก็บตรวจเอกสาร มีโอกาสเจอลูกค้าบ้าง ตรวจนับสินค้า อ่านมาตรฐานบัญชี ซึ่งงานทั้งหมดที่ว่ามานั้นเป็นงานที่ไม่ชอบ

ดังนั้น จึงเริ่มหางานอื่นๆ จึงได้มาทำงานที่ สยามโตโยต้า ในสายงานด้านการเงินทำอยู่ประมาณ 3 ปี ก่อนที่จะมา TOP เพราะเห็นว่าระบบการบริหารงานแบบโตโยต้าในช่วงนั้นกำลังมีชื่อเสียง จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมและการบริหารงานแบบองค์กรขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น ที่ผสมผสานวัฒนธรรมการทำงานของปูนซิเมนต์ไทยในช่วงนั้น ทำให้เข้าใจว่าทำไมโตโยต้าจึงสามารถบริหารเครือข่ายการผลิตที่ยาวได้ประสบความสำเร็จเพื่อให้มีต้นทุนการทำธุรกิจถูกที่สุด

อีกทั้งด้านการเงินได้มีโอกาสเรียนรู้ที่ดีเพราะการทำงานของหัวหน้าที่บังคับบัญชา คือ ผู้จัดการฝ่ายการเงินต้องดีลกับสถาบันการเงินขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น อาทิ ธนาคารซูมิโตโม ธนาคารไดวา ทำให้ได้เรียนรู้วัฒนธรรมการทำงานของคนญี่ปุ่น ในเชิงการทำงานว่าต้องทำตามที่สัญญาไว้อย่างเคร่งครัด รวมถึงการทำงานของบริษัทระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ดี เมื่อทำงานไปสักระยะรู้สึกว่าการทำงานที่สยามโตโยต้าซึ่งผลิตเครื่องยนต์ เป็นอุตสาหกรรมการผลิตแบบพื้นฐาน จึงมองว่าสิ่งที่เห็นเริ่มคุ้นเคยและการเรียนรู้เข้าใจธุรกิจของตัวเองเริ่มจำกัดแคบลง แต่สิ่งที่ประทับใจคือการบริหารบริษัทร่วมทุนของปูนซิเมนต์ไทยที่มีรูปแบบเป็นระบบระเบียบ แม้ว่าจะมีบริษัทร่วมทุนเป็นร้อยโรงงาน รวมถึงรูปแบบการทำงานแบบญี่ปุ่น ประกอบกับในช่วงนั้นระบบสถาบันการเงินของไทยเริ่มมีเครื่องมือทางการเงินต่างๆ

ขณะที่บริษัทร่วมทุนบริษัทแม่ใส่เงินทุนพร้อมที่จะลงทุนไว้แล้ว รวมถึงออกแบบ อัตราหนี้สินต่อทุน (ดีอี) ของในแต่ละโครงการไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นตัวเองด้วยความอยากรู้ อยากเห็น อยากเรียนรู้ และเข้าใจธุรกิจที่กว้างมากขึ้น จึงเริ่มศึกษาหาโอกาสที่จะได้งานในสายงานบริหารการเงินเพราะเมื่อเปรียบเพื่อนที่เรียนมารุ่นเดียวกันส่วนใหญ่จะทำงานในสายงานสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ มีข้อดีคือโอกาสได้เรียนรู้ธุรกิจที่หลากหลาย

การได้มาทำงานที่ TOP เริ่มจากการเห็นประกาศรับสมัครงานในหนังสือพิมพ์ตำแหน่งนักวิเคราะห์ด้านการเงิน จำได้ว่า ตอนนั้นรู้สึกแปลกใจมากเพราะคำว่า “โรงกลั่นไทยออยล์” ในตอนนั้นไม่คุ้นหูเท่าบางจาก หรือการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย แต่ที่แปลกมากที่สุดตอนนั้นคือกำหนดให้กรอกและส่งใบสมัครงานที่เขียนด้วยลายมือ ซึ่งปกติในยุคนั้นการสมัครงานแบบทางการจะใช้การพิมพ์ อีกทั้งในตอนนั้นธุรกิจโรงกลั่นถือเป็นธุรกิจใหม่ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จักและเข้าใจ รวมถึงตัวเองด้วยจึงเห็นว่าน่าสนใจ

“รู้สึกประทับใจตั้งแต่สัมผัสแรกที่เข้ามาสัมภาษณ์ มาเจอแผนกประชาสัมพันธ์และพนักงานที่มียูนิฟอร์มที่ดูประณีตรวมถึงคำถามที่ใช้สัมภาษณ์รู้สึกว่ามีความใส่ใจคือให้มองวิเคราะห์ธุรกิจผลิตเครื่องยนต์รถของสยามโตโยต้าว่ามีแนวโน้มเป็นอย่างไร ให้เขียนวิเคราะห์ออกมาเป็นการถามในเชิงตรรกะแบบเป็นเหตุเป็นผล เป็นการฝึกการคิดและถูกเรียกมาสัมภาษณ์หลายรอบมากประมาณ 3-4 ครั้ง ไม่ใช่แค่ถามว่าคุณทำอะไรเป็นบ้าง

เมื่อมาเริ่มทำงานในตำแหน่งนักวิเคราะห์การเงินในช่วงนั้น แต่ละบริษัทมีตำแหน่งนี้เพียงไม่กี่แห่ง หน้าที่ความรับผิดชอบแรกในฐานะนักวิเคราะห์การเงินในกรุงเทพฯ เพียงคนเดียวได้ทำงานถึง 3 ด้าน ได้แก่ การวิเคราะห์เรือที่ใช้ขนส่งน้ำมันจำนวนทั้งหมด 12 ลำ ต้องวิเคราะห์แยกต้นทุนและการทำกำไรของเรือแต่ละลำ รวมถึงได้ทำงานร่วมกับบริษัทญี่ปุ่นกับปูนซิเนต์ไทย ที่ TOP มีบริษัทร่วมทุนด้วย

เธอมีหน้าที่จัดทำบัญชีของโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและทำงบประมาณของสำนักงานในกรุงเทพฯ จากนั้นได้จับงานมากขึ้นเพราะ TOP ช่วงปี 2534-2539 อยู่ในช่วงขยายงานอย่างมาก นอกจากธุรกิจโรงกลั่นจึงต้องดูแลงานเพิ่มอีก 4 โครงการ ได้แก่ ท่อส่งปิโตรเลียมไทย โรงน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน โรงอะโรเมติกส์ และโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) จึงเป็นโอกาสได้ทำงานที่หลากหลายและสนุกมาก ได้ทำงานเกี่ยวข้องกับคนหลายฝ่ายได้เข้าร่วมประชุมระดับบอร์ดในเครือ ได้ดีลงาน กับไอบีมืออาชีพในหลายโอกาส และเรียนรู้ธุรกิจใหม่ๆ หลากหลายขึ้นตามการขยายงานของบริษัท

อีกทั้งในช่วงนั้นกำลังเรียนปริญญาโทด้วย งานที่มีมากทำให้ต้องไปเรียนสายตลอด แต่สามารถนำงานที่ทำไปใช้ตอบโจทย์ในกรณีศึกษาของคลาสเรียนปริญญาโทได้ดีมาก ลักษณะองค์กรที่ทำงานแบบฝรั่งใช้คนน้อยซึ่งมีหัวหน้าคือ นักค้าเงิน ซีเอฟโอ และเจ้าของบริษัท

ในปี 2540 ประกาศลอยตัวค่าเงินบาททำให้บริษัทต้องปรับโครงสร้างหนี้เข้าสู่กระบวนการศาลล้มละลายมีโอกาสได้เข้าไปทำงานช่วยผู้บริหาร มีโอกาสได้งานทำหลายด้าน ได้เรียนรู้การปรับโครงสร้างหนี้ ได้ทำทั้งการลดคน ย้ายออฟฟิศ แฮร์คัต ยืดหนี้ เป็นสำนักที่ทำงานเรื่องนี้จนถึงปี 2543 เกิดไฟไหม้โรงกลั่น ถือว่าเป็นความสนุกและท้าทายที่ได้ทำงานฝ่าฟันร่วมกับผู้บริหารและเจ้าของในการทำให้บริษัทกลับมาสู่สภาวะที่แข็งแรงและตอนนั้นไม่เคยกลัวว่าจะตกงาน

ขณะที่ในปี 2543 เป็นช่วงที่บริษัทเตรียมตัวเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชน (ไอพีโอ) เป็นช่วงที่ ปตท.ใส่เงินเพิ่มทุนเข้ามาถือหุ้นในบริษัทมากขึ้น จนทำไอพีโอเสร็จในปี 2547 จากนั้นได้มาจับงานนักลงทุนสัมพันธ์ที่ไม่เคยสอนในตำราเรียน ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพื่อทำหน้าที่สื่อสารกับนักลงทุนให้สนใจมาลงทุนหุ้น TOP เพราะตอนนั้นหุ้นถือว่ามีลักษณะพิเศษมากคือมี
ฟรีโฟลตสูงถึง 50% เพราะเกิดจากการที่เจ้าแปลงหนี้เป็นทุนโดยขายให้กับนักลงทุนมาถือแทน

ในปี 2548 ได้รับมอบหมายให้ดูแลสายงานใหม่วางแผนกลยุทธ์องค์กรเพื่อสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจของบริษัทถือเป็นงานที่ยากที่สุด แต่มีคุณค่ามากที่จะไปเชื่อมต่อกับทุกสาย สำหรับทุกสายงานที่มีโอกาสได้ทำในช่วงที่ผ่านมาถือว่าตอบโจทย์ วันนี้ที่มาเป็นซีเอฟโอได้มากเพราะทำการมองภาพจะเป็นแบบกลยุทธ์ที่สามารถดำเนินการได้และสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นเป็นหลัก

ตลอดช่วง 25 ปีที่ทำงานที่ TOP สนุกมากเพราะเชื่อว่า งานที่ทำไม่น้อยหน้างานของที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) หรือวาณิชธนกิจ (ไอบี) เพราะงานที่ทำจะมีการดีลกลุ่มคนเหล่านี้ตลอดเวลาในฐานะที่เราเป็นลูกค้าในทุกการเปลี่ยนแปลงของวงจรของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงทุก 5 ปี ทำให้มีความอินมากในวงจรสายงานการเงิน รวมถึงได้เรียนรู้ประสบการณ์อย่างมากจากผู้ชำนาญการด้านต่างๆ ที่ได้ร่วมงานด้วย

อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้การทำงานสนุกมากเพราะช่วงการทำงานก่อนปี 2543 ที่ TOP เพราะเจ้าของกิจการจะมีส่วนร่วมในการบริหารงานด้วย เพราะถือหุ้นสัดส่วน 29% ซึ่งจะมีความประทับใจที่สูงมากเพื่อให้งานประสบความสำเร็จและได้เรียนรู้ประสบการณ์และองค์ความรู้แบบตะวันตก

การทำงาน เชื่อว่าทุกคนมีความสามารถ ขาดเพียงโอกาส ดังนั้นต้องเชื่อมั่นในความสามารถของคน และถือว่าการให้โอกาสคนเป็นสิ่งประเสริฐมาก สามารถทำได้ง่าย และถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของคนที่ได้รับโอกาส โดยสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความเชื่อในเรื่องนี้เพราะได้รับโอกาสมาตลอดตั้งแต่มาทำงานที่ TOP จากผู้ใหญ่ระดับสูง อีกทั้งตัวเองจะเป็นคนที่เตรียมความพร้อมวางแผนล่วงหน้าเสมอก่อนที่จะได้รับมอบหมายงานใหม่

ดังนั้น จะเสนอตัวเข้าไปช่วยงานหัวหน้าก่อนที่หัวหน้าจะย้ายไปฝ่ายอื่น เพราะรู้ว่าเมื่อหัวหน้าไม่อยู่แล้วงานนั้นจะต้องส่งต่อมาให้ตัวเองดูแลต่อ ทำให้เมื่อถึงเวลาการทำงานจริงเมื่อผู้ที่มอบให้โอกาสงานจะเห็นว่าเราสามารถทำงานนั้นได้และทำได้อย่างรวดเร็วซึ่งเกิดจากที่มีการเตรียมตัวไว้แล้วล่วงหน้า

หลักการทำงานส่วนตัวที่ยึดการทำงานมี 2 ข้อ คือ “สร้างความสามารถกับองค์ความรู้ให้ตัวเอง” กับ “มีความเชื่อมั่นก่อนว่าจะทำงานสิ่งนั้นสำเร็จ” อีกทั้งเป็นหลักการที่สร้างให้เกิดในตัวลูกน้องด้วย เปิดเวทีให้ลูกน้องมีโอกาสได้ทำงาน

ข่าวล่าสุด

คลัง ยันยุบสภาฯไม่สะดุดเศรษฐกิจ ชี้กระทบปี 69 วงจำกัด คาด GDP โต 2%