posttoday

วิบูลย์ อุตสาหจิต พลิกขายหัวเราะสู่สปา

01 มกราคม 2560

ธรรมชาติของธุรกิจครอบครัวที่มีทายาท ย่อมอยากเห็นการสืบทอดธุรกิจจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง

โดย...จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์ / ภาพ...วิศิษฐ์ แถมเงิน

ธรรมชาติของธุรกิจครอบครัวที่มีทายาท ย่อมอยากเห็นการสืบทอดธุรกิจจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง แต่บางครอบครัวมีทายาทหลายคน ก็มีความเป็นไปได้ที่ทายาทบางคนคิดอยากออกไปสร้างอาณาจักรใหม่เองหนึ่งในนั้นคือ วิบูลย์ อุตสาหจิต หนึ่งในทายาทบันลือกรุ๊ปสำนักพิมพ์บรรลือสาส์นเจ้าของหนังสือการ์ตูนดัง เช่น ขายหัวเราะ ที่เลือกสร้างเส้นทางเดินของตัวเองสู่ธุรกิจใหม่ที่เขาเลือกเอง นั่นคือธุรกิจสปา

วิบูลย์ อุตสาหจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป เปิดเผยว่า ทางบ้านทำธุรกิจโรงพิมพ์ สำนักพิมพ์บรรลือสาส์น หลายคนคงรู้จักกันดีกับหนังสือหลายเล่มในเครือ โดยเฉพาะ “ขายหัวเราะ” ซึ่งในอดีตตัวเองก็เคยช่วยงานโรงพิมพ์ในเรื่องการหางานพิมพ์บ้าง ก่อนที่จะผันตัวออกมาทำธุรกิจอื่น ซึ่งก็ไม่ได้เริ่มต้นธุรกิจสปาเป็นธุรกิจแรก แต่เป็นเพราะจังหวะของชีวิตที่นำพาไป

วิบูลย์ เล่าต่อไปว่า ช่วงแรกที่แยกตัวออกไปทำธุรกิจอื่นได้เริ่มต้นจากการนำเข้าสินค้าพรีเมียม (ของที่ระลึก ของขวัญของแถม ของแจกลูกค้า) มาขายตามบริษัท เน้นที่อุปกรณ์ (แกดเจ็ต) แปลกๆ ทำธุรกิจนี้อยู่หลายปีจึงเป็นธรรมดาที่มีสินค้าในสต๊อก เพราะเวลาสั่งสินค้ามาจะสั่งเผื่อไว้มาก เลยต้องการหาช่องทางระบายสินค้า โดยได้ไปเปิดกิฟต์ช็อปที่ไนต์บาซาร์ จ.เชียงใหม่ เพื่อระบายสินค้าเหล่านี้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังจากนั้นก็ต้องเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปดูกิจการที่เชียงใหม่บ่อยๆ

ช่วงนั้นเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ มีการลอยตัวค่าเงินบาททำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไปเที่ยวเชียงใหม่จำนวนมาก ทุกครั้งที่เดินทางไปเชียงใหม่จะเห็นนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด จึงเกิดความคิดว่าจะทำอย่างไรให้ได้เงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประกอบกับตัวเองและเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วน คือ ประเสริฐ จิราวรรณสถิตย์ (กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป) เวลาเดินทางไปเชียงใหม่จะชอบไปใช้บริการนวดแผนไทยบ่อยๆ และช่วงนั้นเริ่มมีการเผยแพร่ความรู้เรื่องการนวดเท้าจากอาจารย์ชาวจีน วิบูลย์กับหุ้นส่วนจึงไปเรียนวิชานวดเท้า และเกิดความคิดว่าน่าจะเปิดร้านนวดเท้าและนวดแผนไทยไปด้วยที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อเป็นสินค้าตัวหนึ่งขายให้นักท่องเที่ยว

ด้วยความที่เดินทางไปเชียงใหม่บ่อยครั้ง ได้เห็นทำเลหนึ่งที่สี่แยกใจกลางไนต์บาซาร์ จึงเปิดสาขาแรกที่ไนต์บาซาร์ในปี 2541 ใช้ชื่อร้านว่า เล็ทส์ รีแลกซ์ ให้บริการนวดเท้าและนวดแผนไทย ยังไม่เป็นสปาเต็มรูปแบบ รองรับลูกค้าได้รอบละ 20 คน แต่การหาคนนวดเท้าในเชียงใหม่ช่วงนั้นเป็นเรื่องยาก วันแรกที่เปิดให้บริการมีพนักงานแค่ 2 คนเท่านั้น

“การที่เปิดร้านนวดเท้า นวดแผนไทย เพราะเวลานั้นใจเราก็ชอบด้วย อยากมีร้านนวดเป็นของตัวเอง เวลาที่เดินทางมาเชียงใหม่จะได้ใช้บริการ โดยแนวคิดร้านนี้คือ เราอยากได้อะไรก็ใส่เข้าไปเต็มที่ ทำให้ลูกค้าที่มาใช้บริการก็ชอบใจ เพราะเหมือนเป็นอะไรที่เขาต้องการเหมือนกัน” วิบูลย์ กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วงเวลานั้นธุรกิจนวดที่เปิดให้บริการอยู่ในตลาดมีแค่ 2 ระดับ คือกลุ่มที่เจาะตลาดระดับบนไปเลย เป็นสปาที่อยู่ในโรงแรม ใช้พนักงานที่มีบุคลิกดี ได้ภาษา อายุต้องไม่มาก กับกลุ่มที่เจาะตลาดระดับล่างไปเลย เป็นร้านนวดตามบ้าน ตามตึกแถว ซึ่งไม่ได้ทำอะไรเป็นกิจจะลักษณะ พนักงานเป็นผู้มีอายุมากหน่อยที่มีประสบการณ์ ส่วนตลาดระดับกลางยังไม่มีคนทำ ซึ่งเราจับตลาดถูก เข้าไปเจาะระดับกลาง โดยไม่ได้คำนึงว่าพนักงานมีอายุมากแค่ไหนขอเพียงมีฝีมือก็พอ แล้วมาทำงานให้ได้มาตรฐานที่ร้านกำหนดเรื่องความสะอาด ทำให้ลูกค้าอยากมาใช้บริการ เพราะรู้สึกว่าผู้ให้บริการมีความเป็นมืออาชีพ

นอกจากนั้น ได้สั่งเก้าอี้นวดหลังและไหล่จากสหรัฐอเมริกามาให้บริการด้วย ทำให้ลูกค้าเห็นว่าร้านนวดนี้ได้มาตรฐาน จึงมีลูกค้าบอกต่อแบบปากต่อปาก และมาใช้บริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง กระทั่งมีผู้เขียนหนังสือแนะนำการท่องเที่ยว โลนลี่แพลนเน็ต ไกด์ บุ๊ก มาใช้บริการแล้วไปเขียนแนะนำในโลนลี่ แพลนเน็ต ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาใช้บริการกันล้นหลาม จึงตัดสินใจเปิดสาขาที่ 2 ใน จ.เชียงใหม่ ภายในเวลาแค่ไม่กี่เดือนนับจากสาขาแรก หลังจากนั้นก็ขยายสาขาต่ออีกเรื่อยๆ จนกระทั่งสาขาพัทยาและกรุงเทพฯ

“เดิม เล็ทส์ รีแลกซ์ เป็นร้านนวดยังไม่ใช่สปา แต่เพราะเราจับตลาดระดับกลาง ค่าบริการถูกลงแต่ฝีมือคนนวดได้คุณภาพ บริการมีความสะอาด จึงเป็นที่นิยมเร็ว อีกทั้งช่วงหลังเริ่มมีกระแสการใช้บริการสปามา คือ ความต้องการนวดน้ำมัน ขัดผิว พอกผิว ทำให้เราค่อยๆ ปรับให้ เล็ทส์ รีแลกซ์ มีบริการสปารองรับกระแสที่มา”

วิบูลย์ เล่าว่า ช่วงแรกที่เปิดธุรกิจร้านนวดเท้า นวดแผนไทย เป็นการแอบเปิดกับหุ้นส่วน ไม่ได้บอกกล่าวให้ทางบ้านทราบ เพราะทางบ้านยังมองธุรกิจนวดในมุมที่ไม่ดีนัก แต่คงเป็นเพราะโชคชะตา เมื่อตำรวจไปบุกจับร้านนวดที่พัทยา เพราะเข้าใจว่าทางร้านเป็นร้านนวดในรูปแบบผิดกฎหมาย ซึ่งเวลานั้นวิบูลย์เดินทางไปต่างประเทศพอดี ทำให้เรื่องทำธุรกิจสปารู้ไปถึงพี่สาว

พอวิบูลย์กลับจากต่างประเทศก็ต้องไปเร่งสะสางกับทางตำรวจว่า ร้านนวดที่เปิดเป็นร้านที่ทำทุกอย่างถูกกฎหมายไม่มีสิ่งผิดกฎหมายแอบแฝงอย่างที่เข้าใจ และต้องอธิบายเรื่องราวให้ทางบ้านฟัง จึงอาศัยโอกาสนี้ชวนทางครอบครัวมาร่วมหุ้นร้านนวดด้วย โดยคุณพ่อก็บอกมาว่าถ้าไม่ใช่ธุรกิจประเภท “เจ็กอักจี๊” คือได้เงินมาจากความทุกข์ของใครก็ให้ทำได้ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ขยายธุรกิจได้เต็มที่เพราะไม่ต้องปิดบังทางบ้านอีกแล้ว

วิบูลย์ กล่าวว่า เดิมขยายร้านเล็ทส์ รีแลกซ์ อย่างเดียว กระทั่งเปิดบริการไป 8-9 ปี ช่วงนั้นสัญญาเช่าร้านที่เชียงใหม่จะหมดลง จึงพยายามหาทำเลเปิดร้านใหม่ และไปได้ที่ดิน 3 ไร่ เลยคิดว่า ถ้าทำธุรกิจสปาอย่างเดียว พื้นที่นี้คงใหญ่เกินไป เลยตัดสินใจลงทุนสร้างโรงแรมด้วย เพื่อให้ที่ดินแห่งนี้กลายเป็นจุดหมายปลายทางแห่งสปา ที่นี่จะมีอุปกรณ์สปาครบครัน ทั้งด้านการนวด การบำบัดด้วยน้ำ ถือเป็นการเปิดตลาดสปาเต็มรูปแบบ และเนื่องจากมีห้องพักโรงแรมด้วย จึงถือโอกาสนี้ขยายแบรนด์ใหม่“ระรินจินดา เวลเนส สปา” วาง ตำแหน่งเป็นสปา 5 ดาว ที่อยู่ในโรงแรม

จากการทำธุรกิจสปาตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้ 18 ปีแล้ว เห็นความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจมากมาย ช่วงที่ธุรกิจสปาเติบโตก้าวกระโดดที่สุดคงเป็น 10 ปีที่แล้ว จะเห็นร้านสปาเปิดเรียงรายมาก เพราะกระแสความต้องการใช้บริการสปามาแรง เป็นจังหวะเดียวกับที่เราเปลี่ยนจากทำร้านนวดเท้า นวดแผนไทย มาเป็นสปาเต็มรูปแบบ สำหรับสยามเวลเนสกรุ๊ป ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากการขยายสาขาสปาต่อเนื่องโดยขยายตัวเร็วที่สุดหลังนำบริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในปี 2557

“อดีตผมและหุ้นส่วนทำธุรกิจสปาเหมือนงานอดิเรก ทุกคนไม่ได้ให้เวลาธุรกิจนี้เต็มวัน วันไหนใครว่างก็มาดูแลธุรกิจ แต่เมื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ก็ผันตัวเองจากที่เคยทำงานอื่นมาทำงานประจำกับธุรกิจสปา และวางแผนขยายสาขา วางเป้าหมายธุรกิจให้ชัดเจน”

วิบูลย์ กล่าวว่า ธุรกิจสปาเป็นธุรกิจบริการ จึงพูดคุยกับทีมงานเสมอว่าต้องทำให้ลูกค้ามากกว่าที่ลูกค้าคาดหวังเพื่อให้เกิดความรู้สึก “ว้าว” ประทับใจมากที่สุด ส่วนเรื่องบริหารพนักงาน ต้องเน้นสร้างความเชื่อมั่นและทำงานเหมือนครอบครัวเดียวกัน เวลาเจอปัญหาอะไรก็ผ่านไปด้วยกัน เพราะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวอ่อนไหวกับการเมือง โรคระบาด ภัยธรรมชาติ ต้องให้ความเชื่อมั่นพนักงานว่าหากมีวิกฤตอะไรเราจะเลี้ยงดูพวกเขาได้ตลอดไป การนำธุรกิจสปาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ก็เป็นทางหนึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้พนักงานได้พร้อมกับสร้างความประทับใจให้ลูกค้า

ท้ายนี้ การทำธุรกิจสปา สำหรับวิบูลย์ คือธุรกิจที่สร้างความรู้สึกภูมิใจให้วิบูลย์ เพราะวิบูลย์เป็นคนที่ชอบดูแลคนอื่น เมื่อได้ทำงานด้านบริการ เห็นคนมาใช้บริการสปาแล้วมีความสุข ประทับใจ ก็มีความสุขไปด้วย เพราะชอบที่ทำให้ผู้อื่นมีความสุข และวิบูลย์เชื่ออีกว่าธุรกิจสปามีแนวโน้มเติบโตได้ปีละไม่ต่ำกว่า 10% เนื่องจากสปาเป็นบริการอย่างหนึ่งของการท่องเที่ยว เวลารัฐบาลตั้งป้าหมายทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมามากขึ้น ก็จะทำให้ธุรกิจนี้โตไปตามการท่องเที่ยว โดยนอกจากนักท่องเที่ยวมาไทยเพื่อเที่ยวสัมผัสวัฒนธรรม ประเพณี ก็ยังอยากมาชิมอาหาร ช็อปปิ้งและใช้บริการสปาด้วย

นี่คือชะตาของผู้ชายชื่อวิบูลย์ ที่ขอขีดเส้นทางเดินเปลี่ยนแนวออกมาจากธุรกิจครอบครัวเป็นลูกไม้หล่นไกลต้น

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา