posttoday

"แจกอาหารอย่างเดียวไม่ช่วยแก้ปัญหาคนไร้บ้าน" บุญเลิศ วิเศษปรีชา

13 พฤศจิกายน 2559

วิเคราะห์สถานการณ์ล่าสุดของคนไร้บ้านเมืองไทย ผ่านมุมมองของ "บุญเลิศ วิเศษปรีชา" นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านคนไร้บ้าน

เรื่อง...อินทรชัย พาณิชกุล / ภาพ...วิศิษฐ แถมเงิน

สองปีที่ผ่านมา ภาพของ "คนไร้บ้าน" (Homeless) กลับมาเด่นชัดในสายตาคนกรุงอีกครั้ง 

เริ่มจากกระแสแจกอาหารหน้าลานคนเมือง เสาชิงช้า แต่ละวันมีผู้ใจบุญนำข้าวกล่อง น้ำดื่ม เครื่องนุ่งห่ม แม้กระทั่งเงินสดมาแจกไม่ต่ำกว่าสิบราย ก่อให้เกิดปัญหาวุ่นๆตามมา เช่น ทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง ขณะเดียวกันคนไร้บ้านนับร้อยพากันเข้ามาปักหลักหลับนอน สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ชาวบ้าน นำไปสู่การจัดระเบียบครั้งใหญ่ของทางกรุงเทพมหานคร (กทม.)

ไล่เลี่ยกัน คดีฆาตกรรมคนหาของเก่าใต้สะพานถึง 4 ศพซ้อน สร้างความหวาดผวาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังสะท้อนถึงสวัสดิภาพความปลอดภัยของคนไร้บ้านอันไม่ต่างกับแขวนชีวิตไว้บนเส้นด้าย

บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เจ้าของผลงานวิทยานิพนธ์อันโด่งดังชื่อ "เปิดพรมแดน: โลกของคนไร้บ้าน" ปีพ.ศ.2546 ต่อมาปี 2547 ลงพื้นที่ทำวิจัยเรื่องคนไร้บ้าน ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นนาน 6 เดือน จากนั้นปีพ.ศ.2554 ใช้ชีวิตข้างถนนกว่าหนึ่งปีในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกหัวข้อ"Structural violence and homelessness: Searching for  Happiness on the streets of Manila"

ทราบกันดีว่า วิธีการเก็บข้อมูลของดร.บุญเลิศนั้นถึงลูกถึงคนยิ่ง ด้วยการไปหลับนอนข้างถนน รอรับแจกข้าว ทำงานแลกเศษเงิน คลุกคลีใช้ชีวิตกับคนไร้บ้านราวกับเป็นพวกเดียวกันเป็นเวลานานนับปี

วันนี้เขาจะมาแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์คนไร้บ้านในเมืองไทย กระแสแจกอาหาร ชีวิตข้างถนนอันสุ่มเสี่ยงต่อการถูกทำร้าย ตลอดจนแนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในระยะยาว

พ.ศ.นี้ของ"คนไร้บ้าน"

ในมุมมองนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านคนไร้บ้าน บุญเลิศมองว่า ภาพรวมของกลุ่มคนไร้บ้านในปัจจุบัน ถือว่าดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน

"ทุกวันนี้คนไร้บ้านมีตัวตนขึ้น สมัยก่อนเวลามีกล้องโทรทัศน์ไปสัมภาษณ์ เขาจะหนีกระเจิดกระเจิงเลย ไม่มีใครอยากเปิดเผยตัวเอง เพราะภาพลักษณ์ติดลบมากๆ คนส่วนใหญ่ยังใช้คำว่า 'คนจรจัด'ไม่ต่างกับเรียกสุนัข มองว่าเป็นหัวขโมย ขี้เมา สกปรก ไม่กล้าเข้าใกล้ แต่เดี๋ยวนี้หลายคนกล้าบอกว่าตัวเองเป็นคนไร้บ้าน กล้าบอกเล่าชีวิตตัวเองว่าเขามีความจำเป็นอย่างไร มีปัญหาอะไรที่ทำให้ต้องออกมาอยู่ข้างถนน ส่วนทัศนคติของสังคมแม้ยังไม่ถึงขั้นทำให้ทุกคนเข้าใจหัวอกคนไร้บ้าน แต่มีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น อยากจะช่วยเหลือ รู้สึกว่าพวกเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน"

อีกด้านที่น่าพอใจคือการได้เห็นหน่วยงานภาครัฐ เครือข่าย มูลนิธิต่างๆให้ความสนใจปัญหาคนไร้บ้านกันมากขึ้น   

"สมัยก่อนเวลาเจ้าหน้าที่เข้าไปหากลุ่มคนไร้บ้านก็จะอารมณ์แบบว่า "เฮ้ย สงเคราะห์มาโว้ย" วิ่งหนีคนละทิศละทาง กลัวถูกจับ แต่เดี๋ยวนี้มีความพยายามที่จะเข้าไปช่วยเหลือในบางประเด็น เช่น ช่วยคนไร้บ้านบางคนที่ไม่มีบัตรประชาชนให้เข้าถึงสวัสดิการของภาครัฐอย่างบัตรทอง 30 บาท หรือการเปิดบ้านอิ่มใจ และบ้านมิตรไมตรีให้คนไร้บ้านเข้าไปพักชั่วคราว ไม่ได้มัวแต่มาไล่จับอย่างเดียวเหมือนในอดีต"

สาเหตุของการเป็นคนไร้บ้านนั้นมาจากหลากหลายสาเหตุทับซ้อนเชื่อมโยง ไม่ว่าจะเป็นความแตกร้าวของครอบครัว ถูกกดดันให้ออกจากบ้าน อยู่ไปก็ไม่มีความสุข ตกงานเรื้อรัง ยิ่งนานวันยิ่งหมดหวังที่จะลืมตาอ้าปาก มีประวัติที่สังคมไม่ยอมรับ เคยติดคุก บวกกับที่อยู่อาศัยราคาแพงเกินไขว่คว้า ประกอบกับเล็งเห็นช่องทางหากินโดยไม่ต้องมีบ้าน ทั้งหมดนี้มีส่วนผลักดันให้หลายคนจำใจออกมาใช้ชีวิตข้างถนน

บุญเลิศ มองว่า ปัจจุบันจำนวนคนไร้บ้านน่าจะอยู่ที่ 2,000 คน เปรียบเทียบจำนวนประชากรในกรุงเทพฯที่มีเกือบ 10 ล้านคน ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในประเทศอื่นๆ

"ประเด็นเรื่องคนไร้บ้านไม่ได้อยู่ที่จำนวน แต่อยู่ตรงพื้นที่อาศัยหลับนอนของพวกเขาอยู่ในจุดที่คนมองเห็น เลยสะดุดตา ย้อนไปเมื่อปี 2545 ช่วงที่มีการปิดสนามหลวงไม่ให้คนเข้าไปนอน ซึ่งเหตุผลที่คนไร้บ้านชอบนอนสนามหลวง เพราะเป็นที่โล่ง ไฟสว่าง ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย พอห้ามไม่ให้นอน ผลคือคนไร้บ้านก็กระจัดกระจายไปนอนที่อื่น ซึ่งคนเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้กลับบ้าน คุณห้ามไม่ให้เขานอนตรงนี้ เขาก็ไปโผล่ที่อื่นแทน และตอนนี้ก็เริ่มไปปรากฎโฉมตามสถานที่ที่ไม่ค่อยจะสะดวกเท่าไหร่ เช่น ไปนอนอยู่หน้าบ้านคุณ"

"แจกอาหารอย่างเดียวไม่ช่วยแก้ปัญหาคนไร้บ้าน" บุญเลิศ วิเศษปรีชา กลุ่มคนไร้บ้านนับสิบชีวิตนอนหลับริมถนนย่านเสาชิงช้า

ประสบการณ์ข้างถนนที่กรุงมะนิลา

กว่า 14 เดือนที่นักมานุษยวิทยารายนี้ฝังตัวทำงานภาคสนามกลางกรุงมะนิลา เพื่อทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก บุญเลิศใช้เวลา 6 วันต่อสัปดาห์คลุกคลีกับคนไร้บ้าน เตร็ดเตร่หลับนอนตามสวนสาธารณะ เดินไปกินข้าวฟรีที่โบสถ์ ทำงานร้านอาหารแลกเศษเงินประทังชีวิต เขาเปรียบเทียบคนไร้บ้านกรุงมะนิลากับกรุงเทพฯไว้อย่างน่าสนใจว่า

"สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ มะนิลามีคนไร้บ้านมากกว่าของเราเยอะ น่าจะอยู่หลักหมื่น จากจำนวนประชากรสิบล้านคนซึ่งพอๆกับกรุงเทพฯ แต่คนไร้บ้านในกรุงเทพฯมีไม่เกิน 2,000 คน และที่นั่นคนไร้บ้านประเภท single homeless น้อยกว่าคนไร้บ้านประเภท family homless พวกพ่อแม่ลูกหลับนอนข้างถนน เก็บของเก่า ขายบุหรี่ ที่มะนิลามีเยอะกว่า ในแง่ความช่วยเหลือ มะนิลามีการแจกอาหารกันเยอะกว่าเมืองไทยอีก คนฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่นับถือคริสต์คาธอลิค มีโบสถ์หลายแห่งแจกอาหารให้คนจนแล้วสอนไบเบิลให้ด้วย ผมเคยเขียนวิจารณ์อย่างรุนแรงว่าเป็นการแจกอาหารเพื่อตอบสนองตนเองว่าฉันได้ทำภารกิจในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าจะช่วยคนไร้บ้านให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันก็มีเอ็นจีโอที่ทำงานเกี่ยวกับคนไร้บ้านน้อยมาก การแก้ไขปัญหาจึงเป็นไปได้ยากและไม่เป็นระบบ

ฟิลิปปินส์เขามีการแก้ไขปัญหาต่างจากบ้านเรา ยกตัวอย่างกรุงเทพฯจะเน้นสร้าง Shelter ให้คนไร้บ้านมาพัก แต่รัฐบาลฟิลิปปินส์จะเน้นช่วยเหลือเรื่องการให้งานทำ เช่น งานกวาดถนน เนื่องจากบ้านเขามีอัตราการว่างงานสูง โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าคุณทำงานกวาดถนน ก็ห้ามนอนข้างถนน ต้องไปเช่าที่พักราคาถูก แต่ก็มีข้อจำกัดอีกคือ หลายคนทำได้ไม่นานก็กลับมาอยู่ข้างถนน เพราะการช่วยเหลือไม่ค่อยต่อเนื่อง"

บุญเลิศ เล่าว่า การลงพื้นที่ภาคสนามที่กรุงมะนิลานั้นยากลำบากกว่าสมัยทำงานที่กรุงเทพฯ

"ในฐานะนักมานุษยวิทยามันทำให้ผมสามารถจุ่มตัวเองลงในสังคมนั้นจริงๆ ไม่ใช่แวบกลับบ้านได้เหมือนสมัยทำวิจัยที่สนามหลวง สมัยนั้นอาทิตย์นึงผมก็กลับบ้านที แต่นี่อยู่ยาว 14 เดือน ผมเรียนภาษาตากาล็อกก่อนไป ช่วงแรกมีคนเข้ามาถามว่ามาจากไหน ผมก็บอกว่าเป็นนักศึกษาจะมาทำวิจัยปริญญาเอก เขาไม่เชื่อ คิดว่าผมถูกขโมยกระเป๋าสตางค์ ทำพาสปอร์ตหาย บางคนว่าเสียพนันเลยกลับบ้านไม่ได้ หนักสุดคือคิดว่าผมหนีคดีมาจากเมืองไทย เรื่องความอันตราย ผมเคยอยู่กับกลุ่มที่เถื่อนที่สุดในมะนิลา ตั้งแก๊ง ทำตัวนักเลง กินเหล้าทะเลาะกัน เมา สกปรก เดินถอดเสื้อ ไม่ใส่รองเท้า มองย้อนกลับไปก็อันตรายนะ (หัวเราะ) ไม่รู้ไปอยู่กับเขาได้ยังไง แต่ถ้าคุณเรียนรู้ที่จะอยู่ให้เป็น อยู่ยังไงให้หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง รู้ว่าสถานการณ์ไหนที่จะทำให้คุณเสี่ยงที่จะมีเรื่อง คุณก็จะเอาตัวรอดได้"

ถามว่าคนไร้บ้านฟิลิปปินส์เหมือนคนไร้บ้านที่เมืองไทยมากน้อยแค่ไหน

"อย่าเรียกว่าเหมือนคนไทย เรียกว่าเหมือนมนุษย์ดีกว่า คือมีทั้งคนจิตใจดี มีน้ำใจ เห็นผมป่วยไม่สบายก็หาข้าวหายามาให้ แบ่งเงินให้ใช้ ขณะเดียวกันก็มีคนที่จ้องจะแสวงหาผลประโยชน์ เผลอหน่อยก็ไถตังค์ ไถบุหรี่ สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ อย่ามองทุกอย่างแบบ romanticize อย่าโลกสวย ชีวิตข้างถนนมันมีหลายรูปแบบมาก เราจำเป็นต้องมองคนไร้บ้านอย่างจำแนกแยกแยะ จะเหมารวมไม่ได้ เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะแย่ และไม่ใช่ทุกคนที่จะดีไปเสียหมด"

"แจกอาหารอย่างเดียวไม่ช่วยแก้ปัญหาคนไร้บ้าน" บุญเลิศ วิเศษปรีชา

กระแสแจกอาหารสะท้อนคนไทยชอบทำบุญ

กระแสการแจกอาหารคนไร้บ้าน ณ ลานคนเมือง  ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ฝ่ายหนึ่งมองว่าเป็นการแบ่งปันน้ำใจเพื่อบรรเทาความหิวโหย อีกฝ่ายมองว่าแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด แค่ช่วยให้ท้องอิ่มไปวันๆ แต่ไม่อาจดึงคนไร้บ้านออกจากถนนได้ อย่างไรก็ตามการแจกอาหารคนไร้บ้านสะท้อนว่าคนไทยชอบทำบุญ ชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก

"ผมเรียกว่า 'สวัสดิการนอกภาครัฐ' รัฐไม่ต้องทำอะไร คนที่เดินผ่านไปมานี่แหละยื่นมือช่วย เช่น คุณเห็นคุณยายนอนอยู่สนามหลวง ก็ควักเงินซื้อข้าวให้กิน ประเด็นที่น่าสนใจคือ คุณซื้อข้าวให้ยาย แต่ยายก็ยังคงอยู่ที่สนามหลวง แต่จะทำยังไงที่จะช่วยเหลือเขาอย่างเป็นระบบ ครั้งแรกที่เห็นคนไปแจกอาหาร ผมยังคิดในใจว่าต่างประเทศเขาทำกันจนเลิกทำไปนานแล้ว เพราะไม่ใช่การแก้ปัญหา คนไร้บ้านยังอยู่ข้างถนนต่อไป เพียงแต่อยู่ได้สะดวกขึ้น มีอาหารกิน แต่ไม่ได้ช่วยให้เขาข้ามพ้นภาวะคนไร้บ้านไปได้  ทำไปทำมาสุดท้ายคนที่ได้คือคนที่มาแจก เพราะเขารู้สึกว่าแจกอาหารคนไร้บ้านคือการได้ทำบุญ ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

คนไร้บ้านยังเคยพูดกับผมว่า 'อาจารย์ เดี๋ยวนี้เขาแจกอาหารกันเยอะจนคนไร้บ้านติดและเลือกด้วย ถ้าแจกอาหารไม่ดีมีสิทธิ์โดนด่าอีก' คือคุณให้จนเกินความจำเป็น แต่สิ่งที่ขาดแคลนคือ คนที่พร้อมจะคุยกับคนไร้บ้าน พร้อมจะเข้าใจพวกเขา ช่วยดึงเขาออกจากท้องถนน คนส่วนใหญ่จะรู้สึกสบายใจกว่าถ้ามาแจกอาหารแล้วกลับบ้าน เพราะมันง่าย สะดวก แต่ไม่ช่วยในระยาว แถมบางครั้งยังทิ้งปัญหาไว้ให้อีก"

นักวิชาการรายนี้ยืนยันว่า แจกอาหารไม่ผิด แต่ควรกิจกรรมอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย

"ผมอยากให้ก้าวพ้นคำว่าแจกของ เปลี่ยนเป็นคุณมานั่งฟังเขาดีกว่า จะได้เรียนรู้อะไรจากชีวิตเขากลับไปมากกว่าแจกอาหารแล้วกลับบ้าน การแจกอาหารทำได้แต่ต้องทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย ควรทำให้การแจกอาหารนั้นเป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่การทำให้คนมาแจกได้เจอกับคนไร้บ้าน ได้เข้าอกเข้าใจปัญหาที่แท้จริง คิดถึงการแก้ไขปัญหาในระยะยาว การแจกอาหารก็เหมือนทำบุญ แต่พอพูดว่าจะทำยังไงให้คนไร้บ้านมีที่อยู่อาศัย คนจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก ซับซ้อน เป็นไปไม่ได้ ซึ่งเราควรมาบริหารจัดการตรงนี้ ทำให้ไปไกลกว่าการแจกอาหารไปวันๆ"

"แจกอาหารอย่างเดียวไม่ช่วยแก้ปัญหาคนไร้บ้าน" บุญเลิศ วิเศษปรีชา คนไร้บ้านกำลังรับประทานอาหารที่ได้รับแจกจากคนใจบุญที่ลานคนเมือง

คดีฆาตกรรมคนเก็บของเก่า ชีวิตที่แขวนบนเส้นด้าย

ที่ผ่านมามีข่าวน่าหดหู่เกิดขึ้นหลายครั้ง ตั้งแต่กลุ่มวัยรุ่นรุมกระทืบคนไร้บ้านย่านสนามหลวงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แก๊งเด็กแว๊นราดน้ำมันจุดไฟเผาชายที่นอนอยู่ริมถนน จนถึงคนเก็บของเก่าถูกทำร้ายจนตายใต้สะพานถึง 4 ศพในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นถึงสวัสดิภาพความปลอดภัยในชีวิตอันต่ำเตี้ยเรี่ยดินของคนไร้บ้านได้เป็นอย่างดี

"ขณะที่คนทั่วไปมองว่าคนไร้บ้านน่ากลัว เอาเข้าจริงเขาอยู่ในสถานะที่ปกป้องตัวเองไม่ได้เลย การนอนอยู่ข้างถนนไม่มีอะไรที่จะปกป้องตัวเองจากคนเมาขี่มอเตอร์ไซค์มาเอาหินขว้าง ฉี่ใส่ รุมชกต่อย หรือจุดไฟเผาอย่างที่เป็นข่าวเมื่อปีก่อน เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นง่ายมาก คนไร้บ้านคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า เคยนอนที่ถนนราชดำเนิน ตกดึกมีกลุ่มวัยรุ่นเมาออกจากผับเข้ามารุมทำร้ายจนสะบักสะบอม หรือที่ฟิลิปปินส์ จะมีเรื่องเล่าต่อๆกันว่ามีคนโรคจิตเอาก้อนหินมาทุบหัวตอนนอนหลับ หรือที่ญี่่ปุ่นมีวัยรุ่นผลักคนไร้บ้านตกน้ำ เหตุการณ์ทั้งหมดสะท้อนว่าคนเหล่านี้มีอาการป่วยทางจิต ชอบระบายความรุนแรงกับคนไร้บ้านที่ไม่มีทางสู้"

จากประสบการณ์ภาคสนาม บุญเลิศยืนยันว่า คนไร้บ้านไม่นิยมพกอาวุธ หลีกเลี่ยงปัญหากระทบกระทั่งกับใคร ไม่ทำตัวเป็นจุดเด่น เพราะยิ่งหาเรื่องใส่ตัว ยิ่งอยู่ยาก

"เป็นที่รู้กันในหมู่คนไร้บ้านว่า ถ้าเป็นคนไร้บ้านที่มีประสบการณ์จะไม่มีทางไปนอนโดดเดี่ยวเพียงลำพังตามที่มืดๆ เพราะเสี่ยงโดนทำร้าย ลักจี้ชิงปล้น คนไร้บ้านที่ไม่มีประสบการณ์มักคิดว่าการไปนอนแอบๆจะปลอดภัย นี่คือความเข้าใจผิดอย่างมาก การที่คุณจะปลอดภัย คุณต้องไปนอนในที่โล่ง มีแสงไฟสว่าง นอนกับเพื่อนคนไร้บ้านเยอะๆ นี่คือวิธีการเอาตัวรอดบนท้องถนนของคนไร้บ้าน แต่ไม่เพียงพอหรอก รัฐต้องเข้าไปช่วยเหลือในเรื่องของการจัดหาที่ทาง มีแสงสว่าง มีการตรวจตราโดยตำรวจเพื่อดูแลความปลอดภัย เพราะเขาก็เป็นพลเมืองคนหนึ่งที่ต้องได้รับความคุ้มครองจากรัฐบาลเท่ากับคนอื่นๆ

ผมเคยคุยกับคนไร้บ้านที่ถูกลักขโมยขึ้นโรงพักไปแจ้งตำรวจ ตำรวจไม่ค่อยใส่ใจรับเรื่อง นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมคนไร้บ้านถึงตกเป็นเหยื่อได้ง่าย เพราะโจรจะรู้ว่าคนไร้บ้านเป็นอะไรไปก็ไม่มีใครสนใจ ตำรวจเองยังระแวงว่าพวกเขาเป็นอาชญากร มีเหตุอะไรขึ้นก็พุ่งเป้าที่ไปคนไร้บ้าน จับขึ้นโรงพัก ทำประวัติ แตกต่างจากคนไร้บ้านอีกประเภทหนึ่งที่อาศัยหลับนอนจนคุ้นหน้าคุ้นตาชาวบ้าน พวกนี้จะช่วยเป็นยามให้ สายตรวจในท้องที่จะรู้ว่าคนไร้บ้านที่อยู่ประจำจะไม่ลักเล็กขโมยน้อย ช่วยเป็นหูเป็นตาให้ด้วย ผมมองว่าจำเป็นมากที่จะต้องมีความสัมพันธ์กับคนไร้บ้าน เพื่อลดความหวาดระแวง แล้วเราจะเห็นคนเป็นคน เห็นเขาเป็นมิตรมากขึ้น ไม่ใช่มองกันแต่แง่ร้าย"

บุญเลิศชี้ว่า สวัสดิภาพความปลอดภัยของคนไร้บ้านเป็นหน้าที่ของรัฐต้องเข้าไปช่วยเหลือ

"เขาเป็นพลเมืองของรัฐ รัฐมีหน้าที่คุ้มครอง ปกป้องสิทธิ์ในการมีชีวิตอยู่ สิทธิ์ที่จะไม่ถูกทำร้าย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐจะต้องไปบังคับเขา เช่น แนวคิดการแก้ปัญหาที่จะรุกไล่ไม่ให้คนไร้บ้านอยู่ในพื้่นที่ใดพื้นที่หนึ่ง มันแก้ปัญหาได้ชั่วคราวเท่านั้น ถามว่าเขาจะไปไหน ก็กระจายไปที่อื่น อย่างเวลาจะมีแขกบ้านแขกเมืองมาจากต่างประเทศก็จะกวาดล้างไปเข้าค่าย จับไปแอบไว้ พอครบกำหนดเขาก็ออกมาอีก ไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไรเลย ดังนั้นถ้าคุณจะจัดการ คุณต้องไปจัดการกับคนก่อเหตุ ไม่ใช่จัดการคนที่ตกเป็นเหยื่อ"

"แจกอาหารอย่างเดียวไม่ช่วยแก้ปัญหาคนไร้บ้าน" บุญเลิศ วิเศษปรีชา การนอนข้างถนนเพียงลำพังยามค่ำคืนถือเป็นเรื่องเสี่ยงอันตราย

ข้อเสนอเรื่องคนไร้บ้านที่รัฐบาลควรรับฟัง

ในวันที่สังคมมีทัศนคติต่อคนไร้บ้านดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน ภาคประชาสังคม หน่วยงานภาครัฐเริ่มยื่นมือให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นเรื่องเป็นราว ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการสร้างความไว้วางใจแก่กัน นำไปสู่การหาทางออกที่เหมาะสมในอนาคต

"ปัจจุบันยังมีข้อจำกัดตรงคนที่จะออกไปทำงานภาคสนามมีไม่มาก ไม่ว่าจะภาครัฐ หรือภาคเอกชน เราต้องการคนที่ทำงานภาคสนามมากขึ้น ต้องการคนทำงานเชิงรุกที่จะเข้าไปคุยกับคนไร้บ้าน ไปสร้างความไว้วางใจให้เขาไว้ใจ เพื่อจะชวนให้เขาคิดถึงอนาคตในระยะยาว มันไม่ใช่งานเชิงรับประเภทที่ว่าไปแจกของแล้วกลับบ้าน แบบนี้เป็นแค่งานเฉพาะกิจ ไม่ใช่งานที่การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวซึ่งจะนำไปสู่ข้อเสนออื่นๆที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่างเช่น ไปคุยกับคนไร้บ้านว่าหน่วยงานเราทำหน้าที่แบบนี้นะ มีบ้านให้พักอย่างนี้นะ คุณไปหาเราสิ เพราะโดยปกติแล้วคนไร้บ้านจะไม่คุ้นชินกับการเข้าหาหน่วยงานราชการ ฉะนั้นเขาต้องการให้คนเข้ามาหามากกว่าการให้เขาเข้าไปหา"

บุญเลิศ เสนอแนวทางการช่วยเหลือคนไร้บ้านที่ประมวลจากประสบการณ์ภาคสนามและบทเรียนจากต่างประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับคนไร้บ้านแต่ละกลุ่ม โดยพยายามทำความเข้าใจทั้งในมุมมองของคนไร้บ้านและมุมมองของภาครัฐ

"ต้องเป็นแพ็คเกจที่ต้องทำพร้อมกันหลายๆด้าน เช่น ในอเมริกา หรือฟิลิปปินส์ รัฐบาลสนับสนุนให้งานทำและที่อยู่อาศัยราคาถูกในเวลาเดียวกัน แบบนี้ถึงจะทำให้คนไร้บ้านลืมตาอ้าปากได้ บ้านเรายังไม่มีตรงนี้เท่าไหร่ มีแต่ช่วยเรื่องพื้นฐาน เช่น แจกอาหาร ผมคิดว่าการให้คนมีงานทำ มีบ้านอยู่ สิ่งที่จะเกิดตามมาคือความภูมิใจ ความมีศักดิ์ศรีว่าฉันมีงานทำนะ มีเงินเช่าบ้านอยู่นะ ไม่ต้องไปรอรับแจกอาหาร ไปนอนข้างถนน

อย่างไรก็ตามยังมีคนไร้บ้านอีกจำนวนหนึ่งที่สมัครใจจะอยู่ข้างถนน ไม่อยากเข้าระบบ เพราะรักความอิสระ รัฐก็ต้องดูแลเขาอีกแบบหนึ่ง เช่น สวัสดิการขั้นพื้นฐานอย่างที่หลับที่นอนปลอดภัย มีแสงสว่าง มีห้องน้ำไว้สำหรับขับถ่าย อาบน้ำ ทุกวันนี้ที่คนบ่นกันว่าคนไร้บ้านตัวเหม็น สกปรก ก็เพราะเขาไม่มีห้องน้ำ ไม่มีที่อาบน้ำ ถ้าจัดการเรื่องพื้นๆตรงนี้ได้ ต่อไปคุณก็จะเจอคนไร้บ้านที่ไม่ได้ขี้เหร่นัก เขาก็เดินเก็บของเก่าขาย ใช้ชีวิตของเขาไป"

บุญเลิศ วิเศษปรีชา นักวิชาการด้านคนไร้บ้าน ทิ้งท้ายว่า รัฐบาลควรรณรงค์ส่งเสริมให้คนไร้บ้านดูแลกันเอง หากคนไร้บ้านอยากลุกขึ้นมาทำอะไรดีๆ ก็ควรรับฟัง อย่ามองเขาเป็นปฏิปักษ์ เพราะคนไร้บ้านที่ลุกขึ้นมาพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการยังดีเสียกว่าคนไร้บ้านที่ไม่สนใจจะเข้าร่วมอะไรเลย แบบนี้จะไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าต้องการอะไร และจะแก้ปัญหาให้เขาได้อย่างไร.

"แจกอาหารอย่างเดียวไม่ช่วยแก้ปัญหาคนไร้บ้าน" บุญเลิศ วิเศษปรีชา เจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับเจ้าหน้าที่เทศกิจ ทหาร ตำรวจ ลงพื้นที่ตรวจสอบคนไร้บ้านที่สนามหลวง

 

ข่าวล่าสุด

CardX มอบเงินบริจาคห้าแสนบาทแก่สภากาชาดไทยเพื่อเร่งฟื้นฟูเยียวยาและช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบอุทกภัย